การขุดค้นแหล่งโบราณคดีดอนขุมเงิน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2548-มกราคม 2549 โดยการสนับสนุนงบประมาณจากงบบูรณาการจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อศึกษาและพัฒนาแหล่งโบราณคดีที่เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวของทางจังหวัดนั้น ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีที่จะเป็นประโยชน์ต่อการตีความประวัติศาสตร์ในลำดับต่อไป
ในพื้นที่บ้านหนองคูน หมู่ที่ 12 ตำพลเด่นราษฎร์ กิ่งอำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด ปรากฎบ่อน้ำกรุเรียงด้วยหินทรายสีขาวปนเหลืองขนาดกว้าง 2.50x2.50 เมตร ลึกประมาณ 5 เมตร มีขั้นบันไดเรียงด้วยหินทราย 6 ขั้นลงสู่ก้นบ่อ รอบบ่อมีลานปูด้วยหินทรายสีชมพูเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาด 10X10 เมตร รองรับด้วยหินบดอัดจากเศษศิลาแลงด้านล่างและชั้นดินลูกรัง
พื้นที่ทางทิศตะวันตกของลานหินทรายรอบบ่อน้ำมีแนวปูปินทรายสีชมพูต่อเนื่อง ตรงส่วนปลายมีลักษณะย่อมุมและขยายออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาด 6.50X6.50 เมตร เป็นห้อง 2 ห้อง ขนาบข้างประตูทางเข้าสู่สระน้ำและแทนฐานรูปเคารพ(ฐานโยนี) ที่ประดิษฐานศิวลึกค์ อันหมายถึงเทพเจ้าสูงสุดคือ พระศิวะ
พื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ่อน้ำ พบแนวหินทรายสีชมพูเรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนาดเดียวกัน รองรับแนวหินทรายขนาดกล้าง 1.50 เมตร ยาว 3.30 เมตร เพื่อรองรับฐานประติมากรรม (ฐานโยนีหรือแท่นศิวลึงค์) หินทรายสีเทาขนาดยาว 98 เซนติเมตร กว้าง 82.5 เซนติเมตร หนา 30.5 เซนติเมตร ลักษณะฐานเป็น 2 ชั้นต่อเนื่องกัน แต่ถูกทุบเป็น 3 ส่วน และมีการลบเหลี่ยมมุมตั้งแต่สมัยโบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรจารึกโบราณด้านข้างขวาของแท่นศิวลึงค์ หรือทางทิศตะวันออกเมื่อตั้งอยู่ในตำแหน่งตามแกนทิศเหนือและใต้ และชิ้นส่วนศิวลึงค์และส่วนจมูกวัว ที่ถูกทำลายตั้งแต่สมัยโบราณ อย่างไรก็ตามปราสาทขอมที่สร้างด้วยอิฐก็ไม่ได้ใช้อิฐล้วนๆ โดยมากกรอบประตูมักสร้างด้วยหินชิสต์และเสากรอบประตู และทับหลังมักสลักด้วยหินทราย
หลักฐานทางโบราณคดีที่แหล่งโบราณคดีดอนขุมเงินทั้งในส่วนที่เป็นสระน้ำ แท่นฐานอาคารที่รองรับแท่นศิวลึงค์ และเส้นทางเดินลงสู่ด้วยปลาค้าวที่ต่อเนื่องกับลำน้ำเสียว โดยเฉพาะส่วนห้องประกอบอาคารทางเข้าด้านทิศตะวันตก 2 ห้อง ที่ยังเหลือหลักฐานของการเรียงหินทรายแบบง่าย ๆ ผสมกับร่องรอยของการบากแห่งหินเพื่อเข้าเสา และเครื่องไม้ จึงสอดคล้องกับแนวคิดของศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ที่กล่าวถึงการผสมผสานระหว่างเครื่องไม้และวัตถุถาวรประเภทหิน
ในฝั่งตรงข้ามลำห้อยปลาค้าวฝั่งตะวันตกของพื้นอาคารที่พบแท่นศิวลึงค์และจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต คือ เมืองโบราณจำปาขัน
เมืองโบราณแห่งนี้เป็นเมืองคูน้ำคันดินขนาดประมาณ 800X2,000 เมตร ห่างประมาณ 1 กิโลเมตรมีการขุดค้นทางโบราณคดีพบชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่แหล่งโบราณคดีโนนเดื่อ แหล่งโบราณดคีดอนตาพัน และแหล่งโบราณคดีบ่อพันขัน อายุราว 1,000-2,500 ปีมาแล้ว โดยชุมชนทำการเพาะปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ และโลหกรรม ประเภทเหล็กและสำริด
บ่อพันขันและดอนตาพันถูกละทิ้งไปประมาณ พ.ศ.1543 ส่วนแหล่งโนนเดื่อที่อยู่ในเมืองโบราณอยู่ต่อเนื่องจนถึงพุทธศตวรรษที่ 12-13 แสดงให้เห็นว่าได้เข้ามารวมในอาณาจักรขอมสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 พ.ศ.1553-1593
อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบที่ดอนขุมเงิน แสดงถึงการอยู่ต่อเนื่องของชุมชนโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต่อเนื่องมาถึงสมัยประวัติศาสตร์ และการเข้ามาครอบครองดินแดนแห่งนี้ของพระเจ้าจิตรเสน จากศิลาจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ที่พบที่แท่นฐานศิวลึงค์ ในพุทธศตวรรษที่ 12 น่าจะแสดงถึงความค่อหลักฐานดังกล่าวไม่เคยพบมาก่อนในประเทศไทย
อาจารย์ก่องแก้ว วีระประจักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาโบราณ สรุปความจารึกฐานประติมากรรมดอนขุมเงินว่า เป็นอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 มีเนื้อความดังนี้
..พระเจ้าจิตรเสนเป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าศรีสารวเภามะ เป็นพระเชษฐาของพระเจ้าศรีภววรมัน(เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์) ได้รับพระนามอันเกิดจากการอภิเษกว่า พระเจ้าศรีมเหนทรวรมัน..
อนึ่งจารึกนี้มีขัอความและลักษณะรูปอักษณเหมือนกับกลุ่มจารึกของพระเจ้าจิตรเสนซึ่งพบบริเวณปากน้ำมูล จังหวัดอุบลราชธานี ได้แก่ จารึกปากน้ำมูล อบ.1 และ อบ.2 จารึกวัดสุปัฏนาราม อบ.4 จารึกถ้ำภูหมาไน อบ.9 เป็นต้น
นากจากนี้ยังพบจารึกของพระองค์ในที่อื่น ๆ เช่น ถ้ำเป็ดทองด้านใน ถ้ำเป็ดทองด้านนอก ผนังถ้ำเป็ดทองจังหวัดบุรีรัมย์ จารึกวัดศรีเมืองแอม จังหวัดขอนแก่น จารึกปากโดมน้อย จังหวัดอุบลราชธานี จารึกช่องสระแจง อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว จารึกวัดชุมพล จังหวัดสุรินทร์ กล่าวถึงเจ้าชายจิตรเสนทรงปราบปรามแคว้นต่าง ๆ
น่าสังเกตว่าจารึกที่กล่าวถึงชื่อพระเจ้าจิตรเสน ที่ได้รับการเฉลิมพระนามว่าศรีมเหนทรวรมัน พบในบริเวณปากน้ำมูลถึง 6 หลัก
จารึกที่แหล่งโบราณคดีดอนขุมเงิน เป็นลักษณะการจารึกลงบนแท่นฐานศิวลึงค์หรือฐานโยนีทางด้านขวา โดยแท่นฐานวางตัวอยู่บนฐานหินทรายซ้อนกัน 2 ชึ้น ตามแกนทิศเหนือและทิศใต้ นับเป็นการพบครั้งแรกในประเทศไทย และอาจจะมีเพียงชิ้นเดียวที่พบในลักษณะเช่นนี้
เป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ของดินแดนทุ่งกุลาที่เคยเชื่อกันว่าเป็นดินแดนแห้งแล้ง แต่หลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง มิฉะนั้นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรเจนละคงไม่เข้ามาครอบครอง และแสดงความมีอำนาจเหนือดินแดนลุ่มแม่น้ำชี และแม่น้ำมูลแห่งนี้ ด้วยเหตุที่เป็นแหล่งผลิตข้าว เกลือ และการโลหกรรมที่หล่อเลี้ยงคนในอาณาจักรเจนละทั้งมวล ที่พระองค์สามารถครอบคลุมดินแดนถึงปากแม่น้ำโขง ทั้งในส่วนที่เรียกว่าเจนละบกและเจนละน้ำในภายหลัง
หลักฐานของรูปเคารพ คือ แท่นฐานศิวลึงค์ที่แม้จะถูกทำลายเหลืออยู่บางส่วน รวมทั้งแท่นฐานรองรับโคอุสภะ และชิ้นส่วนจมูกวัว สอดคล้องกับจารึกในลุ่มแม่น้ำมูลทุกหลัก ที่กล่าวถึงการสร้างศิวลึงค์บนภูเขาแห่งนี้ ขณะที่ในแหล่งอื่น ๆ ไม่พบรูปเคารพเช่นเดียวกับแหล่งโบราณคดีดอนขุมเงิน คือ ศิวลึงค์และแท่นฐานศิวลึงค์ โดยเฉพาะบ่อน้ำของพระศิวที่มีการกล่าวถึงเฉพาะในจารึกช่องสระแจง อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
นอกจากนี้การพบบ่อน้ำก่อด้วยหินทรายที่แหล่งโบราณดอนขุมเงินลึก 5 เมตร และขั้นบันไดลงบ่อ เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมอันศึกดิ์สิทธิ์ถือเป็นครั้งแรกที่พบหลักฐานค่อนข้างครบตามศิลาจารึกของพระเจ้าจิตรเสนในลุ่มแม่น้ำมูล และชี
พื้นที่บริเวณนี้จึงน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเจนละ แม้ในภายหลังจะแตกออกเป็นเจนละบกและเจนละน้ำในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 (พ.ศ.1200-1224) ซึ่งเจนละบกน่าจะหมายถึงดินแดนในบริเวณลุ่มแม่น้ำชีและแม่น้ำมูล
พระเจ้าจิตรเสนได้ร่วมกันก่อตั้งอาณาจักรเจนละกับพระเจ้าภววรมันที่ 1 โดยแยกตัวออกจากฟู่นันเมื่อ พ.ศ.1141-1158 หลักฐานด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของกลุ่มปราสาทที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 โดยอาจได้รับมาจากวัฒนธรรมอินเดียทั้งวัตถุถาวรคืออิฐและศิลา และการก่อสร้างด้วยไม้
นายปาร์มังติเอร์ สรุปว่าสถาปัตยกรรมขอมสืบเนื่องมาจากสถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างด้วยไม้ นอกจากนี้อิฐยังเป็นวัตถุส่วนใหญ่ที่ใช้กันในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-13 และ 14-15 พุทธศตวรรษที่ 16 เริ่มใช้อิฐน้อยลง และพุทธศตวรรษที่ 17 เริ่มไม่ใช้อิฐ เนื่องของชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยประวัติศาสตร์ และอยู่ต่อเนื่องมาถึงพุทธศตวรรษที่ 17-18
นอกจากนี้ หลักฐานการทำลายแท่นฐานและศิวลึงค์ของแหล่งโบราณคดีคอนขุมเงินดังกล่าวน่าจะเป็นลักษณะของการเปลี่ยนการนับถือศาสนาจากพราหมณ์มาเป็นพุทธ เพราะได้พบหลักฐานพระพิมพ์แบบศิลปะทวาราวดีจำนวน 3 องค์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 บริเวณทิศตะวันตกของบ่อน้ำวางอยู่ในวงเศษหินที่เป็นส่วนหนึ่งของศิวลึงค์ที่ถูกทุบทำลาย และสอดคล้องกับศิลาจารึกสต๊อกก๊อกธมหลักที่ 2 ที่กล่าวถึงการสงครามและการทำลายหมู่บ้านพราหมณ์ และกล่าวย้อนไปถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ราวพุทธศตวรรษที่ 14
บริเวณที่ตั้งศิลาจารึกและส่วนประกอบของอาคารบริเวณลำห้วยปลาค้าวต่อเนื่องกับลำเสียว ก็คล้ายกับสถานที่ตั้งศิลาจารึกปากมูล 1 และปากมูล 2 และจารึกปากโดมน้อย จังหวัดอุพลราชธานี ลำเสียวยังเป็นลำน้ำที่เชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำมูลและแม่น้ำชี คงจะเป็นเส้นทางการเดินทางที่สำคัญของพระเจ้าจิตรเสนแห่งอาณษจักเจนละ
หมายเหตุ: จารึก วิไลแก้ว เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปากรที่ 10 ร้อยเอ็ด สำนักโบราณคดี กระทรวงวัฒนธรรม
วันเสาร์, กันยายน 11, 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ณ แรกรัก
ชื่อเรื่อง ณ แรกรัก ผู้แต่ง ปาระมิตา แนวโรแมนติกแฟนตาซี จำนวน 462 หน้า สำนักพิมพ์กรีนมายด์ ภาสุระนครแห่งนี้มีเจ้าชายและเจ้าหญิงเป็นแ...

-
อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ..อยู่ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรีประมาณ ๑๗๕ กิโลเมตร โดยใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๒๓(กาญจนบุรี-ไทยโยค-ทองผาภูมิ)ระยะทางประมาณ...
-
การขุดค้นแหล่งโบราณคดีดอนขุมเงิน ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2548-มกราคม 2549 โดยการสนับสนุนงบประมาณจากงบบูรณาการจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อศึกษาและพัฒ...
-
การเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับแนวคิดไทยในเรื่องต่าง ๆ ของชีวิต มีปัญหาและความจำกัดหลายประการ ทั้งประมาณและประเภทของข้อมูลการตีความ และการวิเคราะห...