วันอาทิตย์, ตุลาคม 24, 2553

"วัด"และ"วัง"ของคนไทยสมัยโบราณ


ความคิดเกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้

ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำมาหากินโดยตรงหรือเรื่องที่ช่วยให้อยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ในสังคมและสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติโดยสะดวกสบาย ให้ชีวิตมีความสุขขึ้นกว่าการมีเพียงปัจจัย ๔ ให้ชีวิตอยู่รอดเท่านั้น เป็นสิ่งที่บุคคลต้องแสวงหาจากประสบการณ์ของตัวเองและจากการบอกเล่าอบรมสั่งสอนของผู้อื่น ถ้าบุคคลไม่สนใจจะหา หรือผู้อื่นไม่สนใจจะให้ ก็ไม่มีทางจะได้ความรู้นั้น ๆ มา

สำนวนไทยที่ว่า "รู้อะไรก็ไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" แสดงความคิดของไทยที่เกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้ได้ในแนวหนึ่ง ซึ่งมีการถกเถียงอภิปรายกันมาตลอดว่าผู้เสนอความคิดนั้นหมายถึงความรู้ประเภทใด

ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ความคิดเห็นของคนไทยในเรื่องการศึกษาหาความรู้ที่ปรากฎให้เห็น เป็นความคิดเห็นของฝ่ายผู้ให้มากกว่าฝ่ายผู้รับความรู้ ว่าลักษณะของความรู้ที่คนไทยควรได้รับมีอยู่อย่างไร

ซึ่งข้อสรุปในแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ของคนไทย ดังนี้คือ
๑.ความรู้ย่อมสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของชีวิต

ในสังคมไทยสมัยโบราณ การศึกษาหาความรู้จากหนังสืออย่างที่คนไทยปัจจุบันคุ้นเคยกันนั้น แต่ก่อนจะมีให้เฉพาะในวัดและในวัง ชาวบ้านที่อยากรู้หนังสือต้องไปเรียนที่วัด เพราะการเรียนหนังสือในวังนั้นมีให้เฉพาะลูกหลานเจ้านายและขุนนางข้าราชการเท่านั้น การหาความรู้ที่บ้านจะมีเพียงความรู้เรื่องการทำมาหากินประกอบอาชีพเจริญรอยตามพ่อแม่ คนที่อยากเรียนวิชาชีพนี้ต่อไปต้องไปขอเรียนด้วยการฝึกทำงานกับผู้ที่ประกอบอาชีพนั้น ๆ อยู่แล้ว

๒.การศึกษาหาความรู้ในวัดและในวังของคนไทยสมัยโบราณ

หนึ่ง..การเรียนที่วัด มุ่งให้รู้วิชาหนังสือเพื่อให้อ่านคำสอนทางศาสนาได้ ถ้าวันหน้ามีโอกาสก็อาจเข้ารับราชการซึ่งต้องการความรู้ทางหนังสือ แต่งานราชการอาจต้องการความรู้วิชาการสู้รบและเวทมนต์คาถาอยู่ยงคงกะพันด้วยซึ่งพระเก่ง ๆ สามารถสอนได้ การไปถวายตัวกับเจ้านายเพื่อเข้ารับราชการต่อไป อาจทำได้ถ้ามีเชื้อสายที่เคยรับราชการมาก่อนช่วยสนับสนุน แต่ถ้าไม่เรียนหนังสือมาและไม่มีเชื้อสายก็ได้แต่เพียงความรู้ทางธรรม รู้จักดีชั่วบาปบุญคุณโทษที่ศาสนาสอนและอาจรู้วิชาช่างบางอย่างที่พระตามวัดมีความถนัดอยู่ ความรู้เช่นนี้ถ้าไม่คิดบวชเรียนเอาดีทางศาสนาต่อไป ก็เอามาใช้ช่วยการดำรงชีวิตให้เป็นคนดีและฉลาดกว่าคนที่ไม่ได้ศึกษา แต่การเรียนที่วัดนี้อนุญาตแต่ผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงไม่มีโอกาสจะได้ศึกษาด้วย เพราะคนสมัยก่อนเห็นว่าผู้หญิงมีความรู้เพียงงานบ้านการเรือนก็พอซึ่งเรียนได้ในบ้าน และผู้หญิงไม่มีโอกาสได้ทำงานราชการ

สอง..การเรียนในวัง มุ่งให้ความรู้ลูกหลานเจ้านายและขุนนางที่จะมีอาชีพรับราชการ จึงเป็นความรู้วิชาชีพที่จะเจริญรอยตามบรรพบุรุษที่ผู้ใหญ่ต้องถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง ทำนองเดียวกับที่พ่อแม่ชาวบ้านสอนลูกหลานให้รู้จักทำอาชีพแบบชาวบ้าน การศึกษาในวังจึงเป็นการศึกษาของชนชั้นสูงที่มีหน้าที่บริหารปกครองต้องเรียนความรู้จำเป็นทั้งทางหนังสือ การสงคราม กฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ ซึ่งความรู้เหล่านี้ก็มีให้แต่ผู้ชายอีกเช่นกัน ผู้หญิงเรียนแต่วิชาแม่บ้านการเรีอน
ทั้งหมดนี้เป็นการศึกษาของคนไทยก่อนสมัยที่จะมีระบบโรงเรียนตามแบบอย่างตะวันตก ซึ่งปรากฎในเมืองไทยในรับกาลที่ ๕ ของกรุงรัตนโกสินทร์

๓.การศึกษาในโรงเรียนของคนไทยสมัยใหม่

สมัยใหม่ของสังคมไทยคือ สมัยที่เมืองไทยเริ่มรับอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ และ รัชกาลที่ ๕ ของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้นมา ถึงแม้เมืองไทยเคยมีการติดต่อค้าขายกับประเทศฝรั่งมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีความจำเป็นต้องรับเอาแบบอย่างอุปกรณ์วิธีการดำเนินชีวิตของเขาเข้ามาใช้ด้วย คงรับเอาแต่สินค้าและวัตถุสิ่งของเครื่องใช้บางอย่างเท่านั้น

การรับอิทธิพลอารยธรรมตะวันตกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นความจำเป็นในการเผชิญกับอำนาจอาณานิคมที่จะต้องปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมใหม่ของชีวิต เพื่อรักษาความเป็นเอกราชและสร้างความเจริญใหม่ในการติดต่อสัมพันธ์กับอารยประเทศ

หนึ่ง..ในสภาพเงื่อนไขใหม่ของชีวิตไทยเช่นนี้ ผู้ที่เห็นความจำเป็นต้องปรับความคิดใหม่เกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้เพื่อดำรงชีวิตของคนไทยที่ถูกอารยธรรมตะวันตกคุกคามอยู่ ก็คือ คนในชั้นผู้บริหารประเทศ โดยให้มีการเรียนในโรงเรียนที่ครูผู้สอนเป็นฆราวาส และให้ความรู้แบบสมัยใหม่ที่ได้จากประเทศตะวันตกผสมผสานกับความรู้คุณธรรมและศีลธรรมในแบบประเพณีไทย

สอง..การให้ศึกษาหาความรู้แบบสมัยใหม่นั้น ในตอนแรกย่อมทำได้ในวงจำกัดเฉพาะในหมู่คนใกล้ชิดราชสำนักเพื่อรับใช้ราชการก่อน แต่ภายหลังก็ขยายออกไปให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนความรู้แบบใหม่เพิ่อเป็นพลเมืองที่มีความสามารถของประเทศชาติสมัยใหม่ด้วย โรงเรียนสำหรับลูกหลานชาวบ้านซึ่งไม่จำเป็นต้องมีอาชีพราชการจึงตั้งขึ้นนอกวังอยู่ในบริเวณวัด แต่ไม่ใช้พระสงฆ์เป็นครูอย่างในระบบการศึกษาของโบราณ

สาม..ผู้จัดให้การศึกษาแบบใหม่นี้ต้องการให้คนไทยทั้งชายและหญิงมีความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเป็นพลเมืองของประเทศชาติสมัยใหม่ จากการศึกษาในโรงเรียนอย่างน้อยจบชั้นประถมศึกษาที่ทุกคนต้องเรียน พ้นจากนั้นถ้าต้องการเรียนต่อชั้นมัธยมและอุดมศึกษาได้ ลักษณะความรู้ทั้งหมายที่กำหนดไว้ในหลักสูตรตามนโยบายและแผนการศึกษาของประเทศนั้น มีทั้งความรู้สามัญสำหรับการดำรงชีวิตทั่วไปของพลเมืองในประเทศชาติสมัยใหม่และความรู้ในทางวิชาชีพเพื่อพลเมืองจะได้ทำมาหากินได้

สี่..สรุปได้ว่า ในสมัยแรกที่เริ่มเป็นประเทศสมัยใหม่ การศึกษาในโรงเรียนมุ่งสร้างคนที่มีความรู้แผนใหม่มารับใช้ราชการและพลเมืองที่เหมาะสมของประเทศยุคใหม่ ต่อมาเมื่อประเทศเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตย ก็มุ่งให้การศึกษาสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบใหม่ มากกว่าเพื่อให้รับราชการ และในช่วงพัฒนาเศรษฐกิจของประทศให้เป็นอุตสาหกรรมตั้งแต่หลัง พ.ศ.๒๕๐๐ มา การศึกษาในระบบโรงเรียนมุ่งสร้างความสามารถในการทำงานอาชีพเพื่อให้ทรัพยากร"คน" เป็นปัจจัยเพิ่มการผลิตเป็นพิเศษ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ณ แรกรัก

ชื่อเรื่อง ณ แรกรัก ผู้แต่ง ปาระมิตา แนวโรแมนติกแฟนตาซี จำนวน 462 หน้า สำนักพิมพ์กรีนมายด์ ภาสุระนครแห่งนี้มีเจ้าชายและเจ้าหญิงเป็นแ...