วันเสาร์, ตุลาคม 23, 2553

สัมพันธ์ไทยกับคนต่างชาติ


ความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนชาติภาษาอื่น


คนไทยได้ชื่อว่ามีอัธยาศัยไมตรีต่อผู้มาเยือน ต้อนรับขับสู้ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ สังคมไทยเป็นสังคมเปิด คือ ยินดีติดต่อกับผู้คนทุกชาติทุกภาษา วัฒนธรรมไทยก็เป็นวัฒนธรรมเปิด คือ พร้อมที่จะรับธรรมเนียมประเพณีชีวิตและอุปกรณ์วิธีการที่คนพอใจจากแบบอย่างชีวิตของคนชาติอื่น ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยก็รายงานไว้ว่าคนไทยอยู่ปะปนกับชนชาติต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่อยู่ทางเหนือในบริเวณประเทศจีนปัจจุบัน หรือกลุ่มที่อยู่ใต้ลงมาในภูมิภาคของเอเชียอาคเนย์ จนถึงแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแหลมมลายู และได้ผสมกลมกลืนกับชนหลายชาติหล่านั้นที่กลายเป็นคนไทยไปด้วยกัน นอกจากนั้นบ้านเมืองไทยยังได้ทำการค้าขายกับประเทศนอกทั้งในทวีปเอเชียจนถึงทวีปยุโรป ในสมัยอยุธยาและในสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบันก็ติดต่อสัมพันธ์กับแทบทุกชาติในแทบทุกทวีปของโลก


ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ความคิดของคนไทยเกี่ยวกับชนชาติอื่น ๆ เหล่านั้นคงต้องมีหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะความสัมพันธ์ที่มีต่อกันในแต่ละยุคสมัย


๑.คนไทยแยกประเภทของชนชาติต่าง ๆ ที่ตนติดต่อด้วย

ถ้าไม่อยู่ในฐานะเสมอกันก็ต้องสูงหรือต่ำกว่ากัน เกณฑ์หนึ่งซึ่งพออาศัยสังเกตได้ก็คือ ชื่อที่ใช้เรียกชนชาติอื่น บางชื่ออาจมีความหมายให้ความรู้สึกเป็นกลาง ๆ ไม่ดูถูก ไม่ยกย่อง ให้เห็นชัดเจนจากคำนั้น ๆ แต่บางคำก็แสดงความคิดความรู้สึกไว้ชัดเจนในชื่อ ดังตัวอย่างที่แสดงในข้อมูล เช่น คนไทย เรียกคนบางชาติว่า "ผีตองเหลือง" (ถือเป็นผีไม่ใช่คน) "แกวแย้"(เอาชื่อสัตว์มาประกอบ) หรือ ส่วย(หมายถึงกลุ่มคนที่อยู่ใต้อำนาจปกครอง มีหน้าที่จัดหาสิ่งของมาบรรณาการเป็นส่วย) ในกรณีเหล่านี้ผู้รู้วิเคราะห์ว่าคนไทยถือตัวว่ามีความเจริญก้าวหน้ากว่าชนชาติหล่านั้น


แต่คำบางคำ เช่น "แขก" มีความหมายดั้งเดิมเพียงว่าคนแปลกหน้าจากที่อื่นเท่านั้น เป็นคำกลาง ๆ ไม่ยกย่องหรือเหยียดหยามแต่อย่างไร ที่ปรากฎในความหมายของคำ (แต่บางคนอาจทักว่าความหมายแฝงที่มาเพิ่มในภายหลังต่อจากความหมายดั้งเดิมนั้น อาจแสดงความคิดความรู้สึกของผู้ใช้คำนั้น ๆ ที่มีต่อผู้ที่ถูกเรียกได้ เช่น เมื่อคนไทยเปรียบเทียบ "แขก"กับ"ฝรั่ง" ในความหมายที่เป็นกลางของทั้ง ๒ คน ก็ยังแฝงความคิดว่ายกย่องนับถือ "ฝรั่ง" มากกว่า "แขก" ว่าฝรั่งมีความเจริญอารยะกว่า ถ้าถือความรู้วิทยาการสมัยใหม่ หรือแม้แต่ "แขก" กับ "พราหมณ์"ซึ่งในความหมายหนึ่งก็คือ คนที่มาจากอินเดียชุดเดียวกัน แต่ถ้าเรียกว่า "พราหมณ์" ก็ฟังว่ายกย่องกว่า "แขก" ในกรณีอื่นคำว่า "แขก"อาจฟังเป็นคำดูแคลน ซึ่งผู้ถูกเรียกไม่พอใจเลยก็ได้ในบางภาคของประเทศ)


ในโคลงสามสิบสองภาษาที่จารึกไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ(วัดโพธิ์) ในกรุงเทพฯ สมัยรัชกางที่ ๓ แสดงถึงคนชาติต่าง ๆ ที่คนไทยรู้จักและสมาคมด้วยในเวลานั้น แบ่งจำแนกได้เป็น ๔ กลุ่ม คือ

๑)แขก หมายถึง คนที่มาจากประเทศอื่น ซึ่งไม่ใช่คนจีนหรือฝรั่ง คำนี้จึงเป็นชื่อของคนได้หลายชาติหลายภาษา ทั้งที่มาจากประเทศอินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ ลังกา หรือจากชวา มลายู ชนชาติเหล่านี้คุ้นเคยกับคนไทยมาตั้งแต่สมัยอยูธยา ซึ่งมีการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศมากในราชสำนักของพระนารายณ์ของยุคนั้น มีข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนที่เป็น"แขก" จากแทบทุกชาติ มียศและตำแหน่งสูง ๆ และได้ฝากลักษณะวัฒนธรรมบางอย่างไว้ให้คนไทยด้วย


๒)จีน หมายถึง คนจากประเทศเดียว ซึ่งคนไทยมีการติดต่อและความสัมพันธ์มาช้านานในประวัติศาสตร์ในด้านการเมืองการปกครอง อำนาจของราชสำนักจึงเป็นที่ยอมรับนับถือของบ้านเมืองในแถบเอเชียอาคเนย์มาตลอด สินค้าของจีน เช่น แพรและถ้วยชาม เป้นของใช้ของคนไทยชั้นสูง ฯลฯ เมืองไทยมีความสัมพันธ์ทางการฑูตและการต้าที่ยกย่องความสำคํยของจีนตลอดมา และมีการแต่งงานสัมพันธ์กันได้ง่ายเพราะไม่มีสิ่งขัดแย้งกันมากในด้านศาสนาและประเพณี แต่ถ้าหากคนไทยเรียกคนจีนว่า "เจ๊ก" อาจทำให้เกิดความคิดความรู้สึกต่างไป


๓)ฝรั่ง โดยทั่วไป หมายถึง คนจาประเทศทางยุโรป (แต่ภายหลังใช้รวมถึงคนผิวขาวจากทวีปอเมริกาและออสเตรเลียด้วย) ความสัมพันธ์ในสมัยอยุธยาเป็นเรื่องการค้าขายทั่วไป และอาวุธยุทธวิธีการทหาร มีผลจำกัดเพียงในระดับผู้บริหารปกครอง แต่ฝรั่งยุคหลังในสมัยรัตนโกสินทร์ที่มาขยายอำนาจอาณานิคมได้มีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมไทยมากมาย ความคิดความเข้าใจของคนไทยปัจจุบันเกี่ยวกับฝรั่งสืบเนื่องจากความสัมพันธ์สมัยหลังนี้มากกว่าของเดิมจากครั้งอยุธยา


๔)คนชาติเพื่อนบ้านใกล้เคียง คนไทยถือว่าบางชาติต่ำต้อยกว่าตนถ้าอยู่ใต้ปกครองของไทย บางชาติก็มีฐานะเสมอกัน มีการสู้รบทำสงครามผลัดกันแพ้ชนะ บางชาติคนไทยก็ยกย่องเพราะมีอำนาจปกครอง และความรู้ความเจริญเหนือคนไทย(เช่น ขอม และมอญ ยุคโบราณ ได้ถ่ายทอดลักษณะการปกครอง ราชประเพณี กฎหมาย และศาสนาให้แก่ราชสำนักไทย) และถึงสมัยหลังที่ชนชาติเหล่านั้นเสื่อมอำนาจจนบางครั้งต้องขอพึ่งโพธิสมภารของผู้ปกครองไทย ก็ยังให้เกียรติว่าเป็นคนพวกสัมมาทิฐิด้วยกัน ต่างจากคนชาติที่นับถือศาสนาอื่นว่าเป็นมิจฉาทิฐิ


๒.ความเป็น "ไทย" ในปัจจุบัน


การร่วมรับภาษาและธรรมเนียมประเพณีชีวิตแบบไทย สร้างความเป็นไทยร่วมกันไม่ว่าพื้นเพเดิมของบุคคลจะมาจากกลุ่มชาติภาษาอื่นใด การจำแนกคนเป็นชาติภาษาอื่นที่คนไทยมีความรู้สึกนึกคิดแยกปฎิบัติต่อแต่ละกลุ่มนั้น เกิจากการที่คนเหล่านั้นรักษาลักษณะเฉพาะของคนไว้ไม่ยอมผสมผสานกลมกลืนเข้ากับลักษณะไทย แต่เมื่อทำได้ การจำแนกเป็นต่างกลุ่มต่างชาติก็หมดไป หลักการนี้เป็นจริงตั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน ความเป็น "ไทย" จึงครอบคลุมผู้คนที่มาจากพื้นเพหลายชาติภาษาที่ต่างกัน


การเป็นประเทศชาติสมัยใหม่ ให้ความเป็นพลเมืองไทยแก่ประชากรทุกกลุ่มภาษา ศาสนา และ ประเพณี ความเป็น "ไทย" จึงอาจไม่จำกัดได้ในลักษณะร่วมกันทางวัฒนธรรมเท่านั้นได้อย่างแต่ก่อน การใช้เกณฑ์ยืดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ร่วมกัน ถ้าตีความหมายว่า "ชาติ" คือ ประเทศ "ศาสนา" ไม่จำกัดแต่เพียงพูทธศาสนา และ "พระมหากษัตริย์" เน้นสถาบันการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญเช่นนั้น ก็สามารถรวมผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมกันแล้วเรียกว่า "ไทย" ในความหมายของยุคปัจจุบันได้ แต่ความคิดความรู้สึกต่อคน ชาติ ภาษาอื่น ในสถานการณืของการติดต่อสัมพันธ์สมัยใหม่ก็คงเปลี่ยนแปลงไปจากที่ข้อมูลในประวัติศาสตร์กล่าวไว้สำหรับสภาพในสมัยก่อน ซึ่งต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ณ แรกรัก

ชื่อเรื่อง ณ แรกรัก ผู้แต่ง ปาระมิตา แนวโรแมนติกแฟนตาซี จำนวน 462 หน้า สำนักพิมพ์กรีนมายด์ ภาสุระนครแห่งนี้มีเจ้าชายและเจ้าหญิงเป็นแ...