ถ้าชีวิตของบุคคลดำรงอยู่ได้เพราะทำกิจกรรมที่จำเป็นเพื่อการครองชีพอย่างไม่บกพร่องและได้ผล (คือทำงาน) และทุกคนทำงานได้ผลเสมอกันไม่มีใครได้มากหรือน้อยกว่ากัน ก็ควรมีความเป็นอยู่เท่าเทียมกันไม่ต่างกันเป็นคนมีคนจน
แต่ในความจริงของชีวิต คนมีความสามารถและสร้างผลงานได้ไม่เท่ากัน มีความต้องการบริโภคผลงานมากน้อยต่างกัน และเก็บสะสมผลงานที่เหลือหรือเกินการบริโภคได้ไม่เท่ากัน ถ้าทุกคนผลิตได้มากเท่าที่ต้องการบริโภค หรือบริโภคได้หมดเท่าที่ผลิต ทุกคนก็ดำรงชีวิตได้โดยไม่มีใครมีอะไรเหลือเป็นสมบัติอยู่มากหรือน้อยกว่ากัน ให้เห็นแยกได้เป็น "คนมี"และ"คนจน" การมีทรัพย์สมบัติส่วนตัวอยู่ไม่เท่ากันทำให้บางคน "มี"และบางคน "จน"เมื่อเปรียบเทียบกัน
ความคิดของคนไทยในเรื่องนี้
๑.ความมั่งมีหรือยากจนเป็นการเปรียบเทียบกันด้วยทรัพย์สมบัติที่เป็นวัตถุ
ถึงแม้ตามปกติคนเราย่อมมีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และจิตใจ แต่ความมั่งมีหรือยากจนเป็นความแตกต่างกันด้วยทรัพย์สมบัติ คือ ทรัพยากรที่แต่ละคนเป็นเจ้าของ มีกรรมสิทธิ์หรือมีอำนาจเหนือ สามารถใช้สิ่งนั้น ๆ สนองความต้องการของตนได้ การพิจารณาเรื่องความมีหรือความจน จึงสนใจว่า
๑)ทรัพย์สมบัติที่ถือกันว่ามีค่าเป็นทรัพยากรนั้น คือ สิ่งของประเภทใด และ
๒)สิ่งเหล่านั้นได้มาอย่างไร
แต่ในความจริงของชีวิต คนมีความสามารถและสร้างผลงานได้ไม่เท่ากัน มีความต้องการบริโภคผลงานมากน้อยต่างกัน และเก็บสะสมผลงานที่เหลือหรือเกินการบริโภคได้ไม่เท่ากัน ถ้าทุกคนผลิตได้มากเท่าที่ต้องการบริโภค หรือบริโภคได้หมดเท่าที่ผลิต ทุกคนก็ดำรงชีวิตได้โดยไม่มีใครมีอะไรเหลือเป็นสมบัติอยู่มากหรือน้อยกว่ากัน ให้เห็นแยกได้เป็น "คนมี"และ"คนจน" การมีทรัพย์สมบัติส่วนตัวอยู่ไม่เท่ากันทำให้บางคน "มี"และบางคน "จน"เมื่อเปรียบเทียบกัน
ความคิดของคนไทยในเรื่องนี้
๑.ความมั่งมีหรือยากจนเป็นการเปรียบเทียบกันด้วยทรัพย์สมบัติที่เป็นวัตถุ
ถึงแม้ตามปกติคนเราย่อมมีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และจิตใจ แต่ความมั่งมีหรือยากจนเป็นความแตกต่างกันด้วยทรัพย์สมบัติ คือ ทรัพยากรที่แต่ละคนเป็นเจ้าของ มีกรรมสิทธิ์หรือมีอำนาจเหนือ สามารถใช้สิ่งนั้น ๆ สนองความต้องการของตนได้ การพิจารณาเรื่องความมีหรือความจน จึงสนใจว่า
๑)ทรัพย์สมบัติที่ถือกันว่ามีค่าเป็นทรัพยากรนั้น คือ สิ่งของประเภทใด และ
๒)สิ่งเหล่านั้นได้มาอย่างไร
หนึ่ง..ถ้าคนที่อยู่ร่วมกันมีทรัพย์สมบัติน้อยเหมือน ๆ กัน หรือมากเหมือน ๆ กันก็แยกไม่ได้ว่ามั่งมีหรือยากจน คนไทยสมัยก่อนถ้าเป็นชาวชนบทก็มักอยู่กันเป็นชุมชน หมู่บ้าน ทำมาหากินและมีทรัพย์สินไม่ต่างกัน ถ้าเป็นชาวเมืองที่เป็นเจ้านายหรือขุนนางข้าราชการ ก็มีอาชีพและทรัพย์สินคล้าย ๆ กัน แต่ลดหลั่นกันบ้างตามยศและศักดิ์ ไม่ถึงกับแยกกันว่าเป็นคนมีและคนจน จึงกล่าวว่าแต่ก่อนคนมีทรัพย์สินน้อยไม่อยู่ปะปนกับคนมีทรัพย์สินมาก จึงไม่เห็นและรู้สึกความแตกต่างของฐานะของกันและกัน
สอง..แต่ในเมือง เจ้านายก็มีบ่าวไพร ซึ่งไม่มียศศักดิ์ ฐานะ ทรัพย์สินที่เทียบได้ว่าเสมอกัน และเมื่อชาวบ้านชนบทพบปะกับขุนนางข้าราชการที่เป็นชาวเมือง ก็ย่อมเห็นได้ว่าชาวเมืองระดับนั้นมีทรัพย์สมบัติมากกว่าคน ในสังคมที่แบ่งได้เป็นส่วนของเมืองและชนบท ชาวเมืองย่อมมั่งมีกว่าชาวชนบทโดยทั่วไป แต่สิ่งที่เป็นทรัพย์สมบัติซึ่งชาวเมืองมีมากกว่าชาวชนบท หรือชนชั้นเจ้านายมีมากกว่าชนชั้นบ่าวไพร่นั้น มิได้เป็นเพียงบ้านช่องหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่เห็นได้ว่ามีปริมาณและคุณภาพมากกว่าเท่านั้น แต่รวมไปถึงคนที่เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งเจ้าของจะใช้สอยหรือแม้กระทั่งซื้อขายได้ด้วย เช่น สามีเป็นเจ้าของภรรยา พ่อแม่เป็นเจ้าของลูก และเจ้านายเป็นเจ้าของบ่าวไพร่ข้าทาสในสังกัด คนมั่งมีจึงได้แก่คนที่มีทรัพย์สมบัติดังกล่าวมากกว่าผู้อื่น
สาม..ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ อาจได้มาด้วยการสร้างทำโดยเจ้าของเองโดยตรง คือ เป็นผลผลิตของตนเอง หรืออาจได้มาจากการแลกเปลี่ยนซื้อขายผลผลิตของตนหรืออาจได้มาจากการแลกเปลี่ยนซื้อขายผลผลิตของตนกับผลผลิตของผู้อื่น หรือได้เพราะตนมีสิทธิและอำนาจเรียกร้องเอาได้จากผู้อื่น (เช่นเจ้านายได้สิ่งของและแรงงานจากบ่าวไพร่) หรือได้จากผู้มีอำนาจหรือทรัพย์สินนั้นแบ่งปันให้ (เช่น ขุนนางได้รับพระราชทานตำแหน่งและบริวารจากเจ้านายผู้ปกครองแผ่นดิน) ในสังคมที่ไม่แบ่งเป็นชั้นวรรณะ ที่ชนชั้นสูงมีสิทธิอำนาจเหนือชนชั้นต่ำ ทรัพย์สมบัติย่อมได้มาจากการผลิตหรือแลกเปลี่ยนผลผลิตของตนเองโดยตรงเท่านั้น
๒.ความมั่งมีหรือยากจนเป็นผลจากการกระทำของตนเองหรือผู้อื่น
ในสังคมไทยสมัยก่อน คนจนเชื่อว่าความจนเป็นผลของกรรมที่บุคคลทำมาแต่ปางก่อน จึงไม่โทษใครและคนมีก็คิดอย่างเดียวกันว่าเพราะตนเอยทำบุญไว้ดี ความมีหรือความจนจึงเป็นผลการกระทำของบุคคลเอง ไม่ใช่เพราะผู้อื่นเอาเปรียบฉกฉวยประโยชน์ หรือเพราะระบบสังคมที่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดของคนในสังคมเอง
แต่นักวิชาการวิเคราะห์ว่า ชนชั้นสูงร่ำรวยเพราะมีสิทธิอำนาจเรียกร้องเอาผลผลิตของชาวบ้านมาสะสมเป็นทรัพย์สมบัติของตนและพยายามรักษาระบบสังคมที่ช่วยให้ตนได้เปรียบนี้ไว้ โดยครอบงำความคิดชาวบ้าน ให้เชื่อว่าความมีความจนเป็นผลของกรรมที่บุคคลทำเอง ไม่ใช่เพราะผู้อื่นมาเบียดเบียน
เมื่อระบบสังคมภายหลังเปลี่ยนไป มีการเปลี่ยนแปลงในวิธีการทำมาหากินและมีความคิดเรื่องเศรษฐกิจตามโลกตะวันตก ความคิดแบบเดิมของคนไทยก็เปลี่ยนไปด้วย
๓.เกณฑ์กำหนดทรัพย์สมบัติเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ
หนึ่ง..ในระบบสังคมเดิม ที่ดินมีมากมายไม่จำกัด แต่แรงงานและกำลังคนมีจำกัด คนจึงเป็นทรัพย์สินที่สำคัญ ผู้มีสิทธิควบคุมแรงงานของคนจำนวนมาก ก็มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและทางการปกครอง นอกจากนั้นในระบบการปกครองสมัยโบราณ พระเจ้าแผ่นดินแต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมด คนธรรมดาไม่มีที่ดินเป็นสมบัติได้ คนมั่งมีคือ คนที่มีคนอยู่ใต้อำนาจให้ใช้แรงงาน และผลผลิตของคนเหล่านั้นเป็นประโยชน์ของตนได้ แนวความคิดเช่นนี้มีมาตลอดช่วงเวลาของระบบศักดินา ในยุคอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น
สอง..เมื่อสนธิสัญญาเบาว์ริง พ.ศ.๒๓๙๘ ทำให้รัฐบาลหมดสิทธิผูกขาดการค้าต่างประเทศ และประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกแผ่อำนาจอาณานิคมมาสู่ภูมิภาคนี้เป็นตลาดการค้ากว้างขวางขึ้น และมีการเลิกไพร่ทาสและระบบศักดินาในรัชกาลที่ ๕ ประชาชนเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นสังกัดนาย และได้รับอนุญาตให้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำการผลิตเพื่อขายในตลาดเสรี ที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตทางเกษตรที่สำคัญก็กลายเป็นสิ่งมีค่า คือ ทรัพย์สมบัติแทนแรงงานคน ในยุคนี้คนมั่งมีคือ..เจ้าของที่ดิน
สาม..การเศรษฐกิจที่มีลักษณะเป็นการค้าพาณิชย์มากขึ้น ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ในระยะแรกอยู่ในมือของผู้ประกอบการต่างด้าว คือ ฝรั่งและจีนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งให้ความสำคัญแก่ทุนที่เป็นเงินตรามากกว่าทรัพย์สินอื่น แต่กว่าคนไทยจะสนใจเข้ามาทำการค้าเองจริงจัง ก็ในระยะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ และ การพัฒนาเศรษฐกิจด้วยแผนของชาติ หลัง พ.ศ.๒๕๐๐ เงินทุนจึงกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่ากว่าที่ดินและแรงงานของอดีต
๔.บทบาทของรัฐในการสร้างความมั่งมีและยากจนในหมู่ประชาชน
หนึ่ง..คนไทยบางคนอาจไม่เชื่อว่าความมีความจนเป็นผลของเวรกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน แต่เป็นผลของการกระทำของบุคคลในชาตินี้เอง คนมีคือผู้ที่ขยันทำมาหากิน รู้จักเก็บหอมรอมริบ รู้จักลงทุนประกอบการมีไหวพริบสติปัญญาเห็นจังหวะ และโอกาสที่จะได้ประโยชน์กำไร คนจนคือ คนที่ขี้เกียจไม่มีมานะอดทน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักประหยัด ไม่ขวนขวายหาความรู้ดูลู่ทางที่จะค้าขายหาประโยชน์ หรือเพราะเกิดมาโง่ไม่มีความคิด ไม่มีปัญญา ผู้ที่คิดว่าความมั่งมี ยากจน ขึ้นอยู่กับการกระทำและคุณภาพของตัวบุคคลเองและไม่เชื่อบุญกรรมโชคเคราะห์ที่เป็นอำนาจนอกเหนือมนุษย์นั้น หากจะเชื่อเลยไปว่าสาเหตุอาจมาจากการกระทำของบุคคลอื่นได้ด้วย ก็จะเพียงว่ามีคนอื่นมาหลอกลวง คดโกง หรือ ลักขโมย ปล้นชิงเอาทรัพย์สมบัติไปหมดจึงทำให้จน หรือบางคนมั่งมีเพราะเอาเปรียบ หรือโกงคนอื่นมาได้ แต่ปกติแล้วสามัญชนคนทั่วไปไม่คิดเลยไปถึงระบบสังคมทั้งหมด ว่ามีส่วนเป็นสาเหตุทำให้คนมีหรือจนได้
สอง..สังคมไทยแต่โบราณมีความสามารถผลิตได้มากพอจึงเกิดเป็นบ้านเมืองที่มั่นคงรุ่งเรืองมาได้ยาวนาน ผู้ปกครองหรือรัฐบาลมีโภคทรัพย์ที่ได้จากผลผลิตส่วนเกินการบริโภคโดยตรงของประชาชนมาใช้ว่าจ้างเจ้าหน้าที่พนักงานที่ทำการบริหารปกครอง ระบบสังคมที่ให้สิทธิอำนาจชนชั้นปกครองมากกว่าชนชั้นที่ถูกปกครอง ย่อมอำนวนประโยชน์ให้กลุ่มผู้ปกครองมั่งมีทรัพย์สมบัติได้มากกว่าประชาชนชาวบ้าน ซึ่งเป็นจริงมาตลอดสมัยของระบบศักดินา
สาม..เมื่อหมดยุคศักดินา ผู้บริหารผู้ปกครองเสียสิทธิผูกขาดการค้าแก่พ่อค้าต่างด้าว และเลิกการเกณฑ์แรงงานและผลผลิตของไพร่ทาสเป็นลำดับแรกในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ และสุดท้ายสูญเสียอำนาจการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใน พ.ศ.๒๔๗๕ รัฐบาลระบอบประชาธิปไตยในตอนแรกทอนอำนาจพ่อค้านายทุนต่างด้าวด้วยนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม ให้รัฐดำเนินการค้าและอุตสาหกรรมบางอย่าง และส่งเสริมให้เกิดพ่อค้านายทุนไทยเข้ามาประกอบการ และเมื่อหลัง พ.ศ.๒๕๐๐ รัฐลดบทบาทในการควบคุมเศรษฐกิจ แล้วส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยระบบเสรีทุนนิยมอย่างเต็มที่ โดยเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทุนและทักษะที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มี เพราะเป็นเกษตรกรและแรงงานใช้ทักษะนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจแบบเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรม ทำให้ผู้มีทุนและทักษะสำหรับอุตสาหกรรมได้ประโยชน์กำไรมากกว่าชาวไร่ชาวนา ที่ขายผลผลิตทางเกษตรได้ราคาต่ำ และกรรมกรที่ถูกจำกัดค่าแรงงานเพื่อมิให้สินค้าอุตสาหกรรมมีราคาสูง แล้วจะขายแข่งขันกับประเทศอื่นได้ลำบาก ผลก็คือทำให้กลุ่มแรกมั่งมีขึ้นแต่กลุ่มหลังยากจนลง เมื่อเทียบกันเป็นอัตราส่วน
จากแนวคิดเช่นนี้ ความมั่งมีและความยากจนของประชาชนจึงเป็นผลของนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลผู้ดูแลบริหารสังคมด้วย มิใช่เพียงเป็นผลของการกระทำในระดับบุคคลในชาตินี้ หรือบุญกรรมจากชาติก่อนเท่านั้น
ในอนาคต เมื่อนโยบายของรัฐบาลและระบบเศรษฐกิจของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ความคิดความเข้าใจในเรื่องความมั่งมีและยากจนของคนก็คงเปลี่ยนได้อีกจากสภาพในขณะนี้ที่คนทั่วไปถือว่าการมีเงินและสามารถบริโภคแบบวัตถุนิยมคือเครื่องหมายของความมั่งคั่งที่คนส่วนใหญ่ปรารถนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น