วันอาทิตย์, ตุลาคม 24, 2553

"วัด"และ"วัง"ของคนไทยสมัยโบราณ


ความคิดเกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้

ความรู้ในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำมาหากินโดยตรงหรือเรื่องที่ช่วยให้อยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ในสังคมและสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติโดยสะดวกสบาย ให้ชีวิตมีความสุขขึ้นกว่าการมีเพียงปัจจัย ๔ ให้ชีวิตอยู่รอดเท่านั้น เป็นสิ่งที่บุคคลต้องแสวงหาจากประสบการณ์ของตัวเองและจากการบอกเล่าอบรมสั่งสอนของผู้อื่น ถ้าบุคคลไม่สนใจจะหา หรือผู้อื่นไม่สนใจจะให้ ก็ไม่มีทางจะได้ความรู้นั้น ๆ มา

สำนวนไทยที่ว่า "รู้อะไรก็ไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี" แสดงความคิดของไทยที่เกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้ได้ในแนวหนึ่ง ซึ่งมีการถกเถียงอภิปรายกันมาตลอดว่าผู้เสนอความคิดนั้นหมายถึงความรู้ประเภทใด

ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ความคิดเห็นของคนไทยในเรื่องการศึกษาหาความรู้ที่ปรากฎให้เห็น เป็นความคิดเห็นของฝ่ายผู้ให้มากกว่าฝ่ายผู้รับความรู้ ว่าลักษณะของความรู้ที่คนไทยควรได้รับมีอยู่อย่างไร

ซึ่งข้อสรุปในแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ของคนไทย ดังนี้คือ
๑.ความรู้ย่อมสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของชีวิต

ในสังคมไทยสมัยโบราณ การศึกษาหาความรู้จากหนังสืออย่างที่คนไทยปัจจุบันคุ้นเคยกันนั้น แต่ก่อนจะมีให้เฉพาะในวัดและในวัง ชาวบ้านที่อยากรู้หนังสือต้องไปเรียนที่วัด เพราะการเรียนหนังสือในวังนั้นมีให้เฉพาะลูกหลานเจ้านายและขุนนางข้าราชการเท่านั้น การหาความรู้ที่บ้านจะมีเพียงความรู้เรื่องการทำมาหากินประกอบอาชีพเจริญรอยตามพ่อแม่ คนที่อยากเรียนวิชาชีพนี้ต่อไปต้องไปขอเรียนด้วยการฝึกทำงานกับผู้ที่ประกอบอาชีพนั้น ๆ อยู่แล้ว

๒.การศึกษาหาความรู้ในวัดและในวังของคนไทยสมัยโบราณ

หนึ่ง..การเรียนที่วัด มุ่งให้รู้วิชาหนังสือเพื่อให้อ่านคำสอนทางศาสนาได้ ถ้าวันหน้ามีโอกาสก็อาจเข้ารับราชการซึ่งต้องการความรู้ทางหนังสือ แต่งานราชการอาจต้องการความรู้วิชาการสู้รบและเวทมนต์คาถาอยู่ยงคงกะพันด้วยซึ่งพระเก่ง ๆ สามารถสอนได้ การไปถวายตัวกับเจ้านายเพื่อเข้ารับราชการต่อไป อาจทำได้ถ้ามีเชื้อสายที่เคยรับราชการมาก่อนช่วยสนับสนุน แต่ถ้าไม่เรียนหนังสือมาและไม่มีเชื้อสายก็ได้แต่เพียงความรู้ทางธรรม รู้จักดีชั่วบาปบุญคุณโทษที่ศาสนาสอนและอาจรู้วิชาช่างบางอย่างที่พระตามวัดมีความถนัดอยู่ ความรู้เช่นนี้ถ้าไม่คิดบวชเรียนเอาดีทางศาสนาต่อไป ก็เอามาใช้ช่วยการดำรงชีวิตให้เป็นคนดีและฉลาดกว่าคนที่ไม่ได้ศึกษา แต่การเรียนที่วัดนี้อนุญาตแต่ผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงไม่มีโอกาสจะได้ศึกษาด้วย เพราะคนสมัยก่อนเห็นว่าผู้หญิงมีความรู้เพียงงานบ้านการเรือนก็พอซึ่งเรียนได้ในบ้าน และผู้หญิงไม่มีโอกาสได้ทำงานราชการ

สอง..การเรียนในวัง มุ่งให้ความรู้ลูกหลานเจ้านายและขุนนางที่จะมีอาชีพรับราชการ จึงเป็นความรู้วิชาชีพที่จะเจริญรอยตามบรรพบุรุษที่ผู้ใหญ่ต้องถ่ายทอดให้คนรุ่นหลัง ทำนองเดียวกับที่พ่อแม่ชาวบ้านสอนลูกหลานให้รู้จักทำอาชีพแบบชาวบ้าน การศึกษาในวังจึงเป็นการศึกษาของชนชั้นสูงที่มีหน้าที่บริหารปกครองต้องเรียนความรู้จำเป็นทั้งทางหนังสือ การสงคราม กฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ ซึ่งความรู้เหล่านี้ก็มีให้แต่ผู้ชายอีกเช่นกัน ผู้หญิงเรียนแต่วิชาแม่บ้านการเรีอน
ทั้งหมดนี้เป็นการศึกษาของคนไทยก่อนสมัยที่จะมีระบบโรงเรียนตามแบบอย่างตะวันตก ซึ่งปรากฎในเมืองไทยในรับกาลที่ ๕ ของกรุงรัตนโกสินทร์

๓.การศึกษาในโรงเรียนของคนไทยสมัยใหม่

สมัยใหม่ของสังคมไทยคือ สมัยที่เมืองไทยเริ่มรับอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตกตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ และ รัชกาลที่ ๕ ของกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นต้นมา ถึงแม้เมืองไทยเคยมีการติดต่อค้าขายกับประเทศฝรั่งมาตั้งแต่สมัยอยุธยา แต่ในสมัยนั้นยังไม่มีความจำเป็นต้องรับเอาแบบอย่างอุปกรณ์วิธีการดำเนินชีวิตของเขาเข้ามาใช้ด้วย คงรับเอาแต่สินค้าและวัตถุสิ่งของเครื่องใช้บางอย่างเท่านั้น

การรับอิทธิพลอารยธรรมตะวันตกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นความจำเป็นในการเผชิญกับอำนาจอาณานิคมที่จะต้องปรับตัวเข้ากับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมใหม่ของชีวิต เพื่อรักษาความเป็นเอกราชและสร้างความเจริญใหม่ในการติดต่อสัมพันธ์กับอารยประเทศ

หนึ่ง..ในสภาพเงื่อนไขใหม่ของชีวิตไทยเช่นนี้ ผู้ที่เห็นความจำเป็นต้องปรับความคิดใหม่เกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้เพื่อดำรงชีวิตของคนไทยที่ถูกอารยธรรมตะวันตกคุกคามอยู่ ก็คือ คนในชั้นผู้บริหารประเทศ โดยให้มีการเรียนในโรงเรียนที่ครูผู้สอนเป็นฆราวาส และให้ความรู้แบบสมัยใหม่ที่ได้จากประเทศตะวันตกผสมผสานกับความรู้คุณธรรมและศีลธรรมในแบบประเพณีไทย

สอง..การให้ศึกษาหาความรู้แบบสมัยใหม่นั้น ในตอนแรกย่อมทำได้ในวงจำกัดเฉพาะในหมู่คนใกล้ชิดราชสำนักเพื่อรับใช้ราชการก่อน แต่ภายหลังก็ขยายออกไปให้ประชาชนได้มีโอกาสเรียนความรู้แบบใหม่เพิ่อเป็นพลเมืองที่มีความสามารถของประเทศชาติสมัยใหม่ด้วย โรงเรียนสำหรับลูกหลานชาวบ้านซึ่งไม่จำเป็นต้องมีอาชีพราชการจึงตั้งขึ้นนอกวังอยู่ในบริเวณวัด แต่ไม่ใช้พระสงฆ์เป็นครูอย่างในระบบการศึกษาของโบราณ

สาม..ผู้จัดให้การศึกษาแบบใหม่นี้ต้องการให้คนไทยทั้งชายและหญิงมีความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเป็นพลเมืองของประเทศชาติสมัยใหม่ จากการศึกษาในโรงเรียนอย่างน้อยจบชั้นประถมศึกษาที่ทุกคนต้องเรียน พ้นจากนั้นถ้าต้องการเรียนต่อชั้นมัธยมและอุดมศึกษาได้ ลักษณะความรู้ทั้งหมายที่กำหนดไว้ในหลักสูตรตามนโยบายและแผนการศึกษาของประเทศนั้น มีทั้งความรู้สามัญสำหรับการดำรงชีวิตทั่วไปของพลเมืองในประเทศชาติสมัยใหม่และความรู้ในทางวิชาชีพเพื่อพลเมืองจะได้ทำมาหากินได้

สี่..สรุปได้ว่า ในสมัยแรกที่เริ่มเป็นประเทศสมัยใหม่ การศึกษาในโรงเรียนมุ่งสร้างคนที่มีความรู้แผนใหม่มารับใช้ราชการและพลเมืองที่เหมาะสมของประเทศยุคใหม่ ต่อมาเมื่อประเทศเปลี่ยนระบบการปกครองเป็นประชาธิปไตย ก็มุ่งให้การศึกษาสร้างความเป็นพลเมืองในระบอบใหม่ มากกว่าเพื่อให้รับราชการ และในช่วงพัฒนาเศรษฐกิจของประทศให้เป็นอุตสาหกรรมตั้งแต่หลัง พ.ศ.๒๕๐๐ มา การศึกษาในระบบโรงเรียนมุ่งสร้างความสามารถในการทำงานอาชีพเพื่อให้ทรัพยากร"คน" เป็นปัจจัยเพิ่มการผลิตเป็นพิเศษ

"งาน"กับ"เล่น"ในความหมายคนไทย


ความคิดเกี่ยวกับเรื่องการทำงานและการพักผ่อน

ในช่วงเวลาตั้งแต่เกิดขึ้นมาแล้วจนถึงเวลาที่ตาย มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานและการพักผ่อนดัดแปลงทรัพยากรธรรมชาติในสภาพแวดล้อมมาสนองความต้องการของชีวิตได้

ความคิดความเข้าใจของคนไทยเมื่อใช้คำว่า "งาน" หรือ "เล่น"(พักผ่อน) ในภาษาปัจจุบัน อาจมีความหมายต่างกันกับที่คนไทยสมัยก่อนใช้กัน คนปัจจุบันมีรายได้เพื่อเลี้ยงชีพจากการทำงาน ถ้าไม่มีงานทำก็ไม่มีเงินที่จะใช้ซื้อหาสิ่งของเลี้ยงชีวิต คนสมัยก่อนที่เพาะปลูกอาหารหรือเลี้ยงสัตว์ ล่าสัตว์เป็นอาหารโดยตรง ไม่ได้ทำงานแลกเงินเดือน ค่าจ้าง ไม่มีปัญหาการตกงาน ว่างงาน ไม่มีงานทำ อย่างคนสมัยนี้ กิจกรรมที่คนทำเพื่อดำรงชีวิตนั้นไม่มีคำกลาง ๆ เรียกรวมว่า "งาน" มักใช้คำตรง ๆ ของกิจกรรมนั้น เช่น ทำนาก็ว่าทำนา จับปลาก็ว่าจับปลา หมายถึงงานที่เป็นกิจกรรมพิเศษเหล่านี้

สำนวนสำหรับคนไทยที่รับใช้เจ้านายในรั้วในวังอาจมีคำ "อยู่งาน" "ถวายงาน" "เข้างาน" ซึ่งหมายถึงการรับใช้เจ้านายตามหน้าที่ซึ่งกำหนดไว้ "งาน" ในความหมายนี้จึงมีความหมายพิเศษต่างไปจากกิจกรรมหรือธุระปกติที่สามัญชนปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ในการทำมาหาเลี้ยงชีพ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองหากจะมีความหมายพื้นฐานสำหรับคำว่า "งาน" ก็คงเป็น "สิ่งที่ต้องทำโดยหน้าที่" แต่สำนวนนี้ก็อาจไม่มีใช้กันทั่วไปในหมู่ชาวบ้าน อาจนิยมกันเฉพาะในหมู่คนรู้หนังสือ ซึ่งก็มักเป็นผู้คุ้นเคยกับราชการ ซึ่งเป็น "งาน" รับใช้เจ้านายที่คนทั่วไปเข้าใจกันอยู่


ในเรื่องการทำงานและการเล่นนั้น มีสาระสำคัญที่น่าสนใจคือ


๑.การแยก "งาน" จาก "เล่น" ตามความหมายของข้อมูล


หนึ่ง..การวิเคราะห์ความคิดเกี่ยวกับ "งาน" จากทรรศนะหรือความเข้าใจของคนนอก เช่น ชาวต่างประเทศหรือนักวิชาการ เมื่อเทียบกับของคนใน คือชาวบ้านไทย ชาวบ้านสามัญชนสมัยก่อนไม่ชอบ "งาน" ในความหมายของการรับใช้เจ้านาย แต่ชอบ "งาน" ที่เป็นกิจกรรมพิเศษตามประเพณีชีวิต เพราะได้ช่วยเหลือเพื่อนฝูงหรือรื่นเริงตามเทศกาล ไม่ซ้ำซากจำเจ เหมือนการทำมาหาเลี้ยงชีพประจำวัน

สอง..ความคิดของชาวบ้านในสมัยก่อนเกี่ยวกับ "งาน" ไม่ว่าในความหมายใดคงไม่มีหลักฐานที่ตนบรรยายไว้เอง และ ไม่มีรายงานของนักวิชาการ (เช่นนักมานุษยวิทยาสังคมวิทยา) ที่ศึกษาข้อเท็จจริงและรายงานให้ทราบดังนั้นเราจึงต้องอาศัยรายงานของคนนอก แท้ ๆ เช่นชาวต่างประเทศ หรือผู้รู้หนังสือที่มักเป็นชนชั้นสูงของสังคมที่คุ้นเคยกับลักษณะชีวิต และความหมายของ "งาน" อีกอย่างหนึ่ง เช่น ชาวต่างประเทศถือว่า "งาน" คือกิจการทุกอย่างที่บุคคลทำอย่างเอาใจใส่รับผิดชอบเพราะเป็นหน้าที่ต่อตนเอง(เลี้ยงชีวิต) หรือต่อผู้อื่น (รับใช้หรือให้บริการแลกเปลี่ยน) แต่ "เล่น" คือกิจการที่ไม่เป็นหน้าที่รับผิดชอบต่อใคร ทำไปเพื่อความสนุกสนานรื่นเริงไม่มีผลเป็นประโยชน์เลี้ยงชีวิต (เมื่อใดที่การ "เล่น" ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ และมีผลตอบแทนให้เลี้ยงชีวิตได้ ก็กลายเป็น "งาน" ตามความหมายเช่นนี้) แต่เจ้านายในสังคมไทยสมัยโบราณอาจถือว่า "งาน" คือกิจการที่บ่าวไพร่บริวารต้องทำรับใช้ตนตามหน้าที่ คนที่ทำได้ไม่ถูกใจจึงถูกตำหนิตามเกณฑ์ที่เจ้านายตั้งไว้ แต่ไม่ถือว่ากิจการที่บ่าวไพร่ทำเพื่อสนองความต้องการของชีวิตตนเองและไม่ได้รับใช้ใครนั้นเป็น "งาน" ดังนั้นเมื่อเจ้านายบรรยายว่าบ่าวไพร่ไม่จริงจังในการทำงาน จึงหมายถึงว่าไม่จริงจังในการปรนนิบัติรับใช้ตนตามหน้าที่ที่กำหนดบังคับไว้ นักวิชาการที่ใช้ข้อมูลของชาวต่างประเทศหรือชนชั้นสูงจึงต้องรับความหมายที่ต่างกันนั้นมาด้วย แต่สุดท้ายก็อาจยังไม่ได้ข้อมูลจาก "คนใน" ที่เป็นสามัญชนว่ามีความคิดของเขาอย่างไรในเรื่องนี้

๒."งาน" กับ "เล่น" ในระดับของชาวบ้านชนบท และระดับของชาวเมือง

เมื่อคำนึงถึงความจำกัดและเงื่อนไขของข้อมูลเกี่ยวกับความคิดของคนไทยในเรื่อง "งาน" และ "เล่น" ดังที่กล่าวแล้ว พอสรุปได้จากข้อมูลที่ใช้วิเคราะห์

หนึ่ง..คนชนบทไม่ติดใจจะแยกกิจกรรมที่เป็น "งาน" จาก "เล่น"(รื่นเริง พักผ่อน) อย่างชัดเจน เป็นคนละเรื่องอย่างที่ชาวเมืองทำกัน (เหตุผลอาจเป็นเพราะชาวบ้านชนบททำมาหากินเป็นอิสระเลี้ยงตัวเอง ไม่ได้รับจ้างหรือรับใช้ใครและเปลี่ยนกับผลตอบแทนที่เป็นค่าจ้างหรือการอุปถัมภ์ชุบเลี้ยง จึงไม่แยกเป็นการทำกิจกรรมตามหน้าที่ให้ผู้จ้างหรือเจ้านายให้เสร็จเสียก่อน ถึงค่อยพักผ่อนรื่นเริงเป็นส่วนตัวของตนเอง)

สอง..ทั้งชาวบ้านและชาวเมืองมีประเพณีนิยมที่จะทำงาน ซึ่งให้ผลเป็นประโยชน์แก่ตนเฉพาะหน้า ไม่ผูกมัดตัวเองด้วยหลักการหรือผลระยะยาว ทำงานที่ให้ความสนุกรื่นเริงด้วยและทำเท่าที่ผู้มีอำนาจสั่งแต่เพียงเท่าที่จำเป็น ไม่ชอบปรับปรุง ไม่ริเริ่ม ไม่แข่งขัน

สาม..การเล่นหรือพักผ่อนต้องให้ความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจไม่ว่าจะทำลำพังตามสะดวก หรือ กับหมู่คณะในโอกาสพิเศษ เช่น เวลาที่งานประเพณีชีวิตของบุคคล(โกนจุก บวช แต่งงาน ทำศพ) หรืองานประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา (เข้าพรรษา ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า) งานประเพณีชีวิตของชุมชนในระดับของหลวง (แรกนาขวัญ เฉลิมพระชนมพรรษา) ก็จะมีมหรสพให้ประชาชนเที่ยวดูและในระดับของราษฎรเอง (สงกรานต์ ปีใหม่ สารท ลอยกระทง) ชาวบ้านก็มีการละเล่นรื่นเริงกันเอง ธรรมเนียมไทยที่มีการแสดงสนุกสนานในงานบวชหรืองานศพซึ่งคนชาติอื่นคาดหมายแต่ความเคร่งขรึมหรือโศกเศร้าเท่านั้น เป็นลักษณะเฉพาะของคนไทยที่สะท้อนความคิดเรื่อง "เล่น" มาประกอบ "งาน"

สี่..การเล่นของคนไทยเน้นความสามารถและปฏิภาณไหวพริบเฉพาะตัวที่เด่นเหนือกว่าคู่แข่งได้ (เพลง คนตรี เล่นว่าว ต่อยมวย) การเล่นเป็นกลุ่มไม่มุ่งเอาแพ้ชนะจากการเล่นเป็นหมู่คณะที่ต้องประสานสัมพันธ์กัน แต่คนไทยชอบพนันขันต่อ ถ้าการเล่นนั้นจะมีฝ่ายแพ้และชนะที่ปรากฎชัดเจน เช่น กัดปลา ชนไก่

๓.การเปลี่ยนแปลงของความคิดเกี่ยวกับ "งาน" และ "เล่น"

เมื่อสภาพของสังคมเปลี่ยนไป ชนชั้นสูงในเมืองไม่ได้มีแต่ทำราชการและชาวบ้านในชนบทไม่ทำแต่การเกษตรเพื่อบริโภคเอง และบริการเจ้านาย ผู้ปกครอง แต่สังคมไทยมีการค้าและการผลิตเพิ่มขึ้น จากผลกระทบของอิทธิพลอารยธรรมของโลกตะวันตก ทำให้คนไทยส่วนหนึ่งต้องเป็นนายทุนผู้ประกอบการ ว่าจ้างแรงงานและอีกส่วนหนึ่งเป็นแรงงานรับจ้างหรือเป็นผู้ผลิตอิสระ มีสินค้าและบริการแลกเปลี่ยนซื้อขายกับผู้อื่น ความคิดความเข้าใจเรื่อง "งาน" ก็มีความหมายเปลี่ยนไป

เมื่อชนชั้นเจ้านายไม่มีสิทธิที่ใช้ชาวบ้านมาเป็นบ่าวไพร่รับใช้ตนได้เปล่า ๆ อีกต่อไป แต่กลายเป็นนายจ้างที่ทำธุรกิจมุ่งผลกำไร และชาวบ้านไม่ได้ผลิตอาหารเลี้ยงชีพเองโดยตรงอย่างสมัยก่อน แต่กลายเป็นผู้ขายของหรือขายแรงงานแลกกับรายได้ที่เป็นเงินตรามาดำรงชีวิต ทุกฝ่ายก็มีความใหม่ ๆ เกี่ยวกับ "งาน" ที่ต้องทำตาม


หลักเกณฑ์และวิธีการแบบพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ไม่เคยมีในสังคมไทยมาก่อนต้องจริงจังและหวังผลงานที่ผู้ทำสะสมเป็นสมบัติเพื่อเลี้ยงชีวิต และสร้างฐานะของตนเองได้ต้องรู้จักประหยัดและเก็บออม เพราะไม่ได้ดำรงชีวิตเรียบง่ายในสภาพแวดล้อมของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างในสมัยก่อนอีกต่อไป ต้องแยก "งาน" ที่เป็นการประกอบอาชีพออกจาก "เล่น" ที่เป็นการพักผ่อนและไม่มีรายได้ตอบแทนให้ชัดเจน เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ความคิดของชาวชนบทกับของชาวเมืองสมัยนี้จึงอาจไม่แตกต่างกันได้มากอย่างในสมัยก่อน

ความคิดคนไทยเรื่อง"ยากดีมีจน"


ถ้าชีวิตของบุคคลดำรงอยู่ได้เพราะทำกิจกรรมที่จำเป็นเพื่อการครองชีพอย่างไม่บกพร่องและได้ผล (คือทำงาน) และทุกคนทำงานได้ผลเสมอกันไม่มีใครได้มากหรือน้อยกว่ากัน ก็ควรมีความเป็นอยู่เท่าเทียมกันไม่ต่างกันเป็นคนมีคนจน

แต่ในความจริงของชีวิต คนมีความสามารถและสร้างผลงานได้ไม่เท่ากัน มีความต้องการบริโภคผลงานมากน้อยต่างกัน และเก็บสะสมผลงานที่เหลือหรือเกินการบริโภคได้ไม่เท่ากัน ถ้าทุกคนผลิตได้มากเท่าที่ต้องการบริโภค หรือบริโภคได้หมดเท่าที่ผลิต ทุกคนก็ดำรงชีวิตได้โดยไม่มีใครมีอะไรเหลือเป็นสมบัติอยู่มากหรือน้อยกว่ากัน ให้เห็นแยกได้เป็น "คนมี"และ"คนจน" การมีทรัพย์สมบัติส่วนตัวอยู่ไม่เท่ากันทำให้บางคน "มี"และบางคน "จน"เมื่อเปรียบเทียบกัน

ความคิดของคนไทยในเรื่องนี้

๑.ความมั่งมีหรือยากจนเป็นการเปรียบเทียบกันด้วยทรัพย์สมบัติที่เป็นวัตถุ
ถึงแม้ตามปกติคนเราย่อมมีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์และจิตใจ แต่ความมั่งมีหรือยากจนเป็นความแตกต่างกันด้วยทรัพย์สมบัติ คือ ทรัพยากรที่แต่ละคนเป็นเจ้าของ มีกรรมสิทธิ์หรือมีอำนาจเหนือ สามารถใช้สิ่งนั้น ๆ สนองความต้องการของตนได้ การพิจารณาเรื่องความมีหรือความจน จึงสนใจว่า

๑)ทรัพย์สมบัติที่ถือกันว่ามีค่าเป็นทรัพยากรนั้น คือ สิ่งของประเภทใด และ
๒)สิ่งเหล่านั้นได้มาอย่างไร

หนึ่ง..ถ้าคนที่อยู่ร่วมกันมีทรัพย์สมบัติน้อยเหมือน ๆ กัน หรือมากเหมือน ๆ กันก็แยกไม่ได้ว่ามั่งมีหรือยากจน คนไทยสมัยก่อนถ้าเป็นชาวชนบทก็มักอยู่กันเป็นชุมชน หมู่บ้าน ทำมาหากินและมีทรัพย์สินไม่ต่างกัน ถ้าเป็นชาวเมืองที่เป็นเจ้านายหรือขุนนางข้าราชการ ก็มีอาชีพและทรัพย์สินคล้าย ๆ กัน แต่ลดหลั่นกันบ้างตามยศและศักดิ์ ไม่ถึงกับแยกกันว่าเป็นคนมีและคนจน จึงกล่าวว่าแต่ก่อนคนมีทรัพย์สินน้อยไม่อยู่ปะปนกับคนมีทรัพย์สินมาก จึงไม่เห็นและรู้สึกความแตกต่างของฐานะของกันและกัน

สอง..แต่ในเมือง เจ้านายก็มีบ่าวไพร ซึ่งไม่มียศศักดิ์ ฐานะ ทรัพย์สินที่เทียบได้ว่าเสมอกัน และเมื่อชาวบ้านชนบทพบปะกับขุนนางข้าราชการที่เป็นชาวเมือง ก็ย่อมเห็นได้ว่าชาวเมืองระดับนั้นมีทรัพย์สมบัติมากกว่าคน ในสังคมที่แบ่งได้เป็นส่วนของเมืองและชนบท ชาวเมืองย่อมมั่งมีกว่าชาวชนบทโดยทั่วไป แต่สิ่งที่เป็นทรัพย์สมบัติซึ่งชาวเมืองมีมากกว่าชาวชนบท หรือชนชั้นเจ้านายมีมากกว่าชนชั้นบ่าวไพร่นั้น มิได้เป็นเพียงบ้านช่องหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่เห็นได้ว่ามีปริมาณและคุณภาพมากกว่าเท่านั้น แต่รวมไปถึงคนที่เป็นกรรมสิทธิ์ ซึ่งเจ้าของจะใช้สอยหรือแม้กระทั่งซื้อขายได้ด้วย เช่น สามีเป็นเจ้าของภรรยา พ่อแม่เป็นเจ้าของลูก และเจ้านายเป็นเจ้าของบ่าวไพร่ข้าทาสในสังกัด คนมั่งมีจึงได้แก่คนที่มีทรัพย์สมบัติดังกล่าวมากกว่าผู้อื่น

สาม..ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ อาจได้มาด้วยการสร้างทำโดยเจ้าของเองโดยตรง คือ เป็นผลผลิตของตนเอง หรืออาจได้มาจากการแลกเปลี่ยนซื้อขายผลผลิตของตนหรืออาจได้มาจากการแลกเปลี่ยนซื้อขายผลผลิตของตนกับผลผลิตของผู้อื่น หรือได้เพราะตนมีสิทธิและอำนาจเรียกร้องเอาได้จากผู้อื่น (เช่นเจ้านายได้สิ่งของและแรงงานจากบ่าวไพร่) หรือได้จากผู้มีอำนาจหรือทรัพย์สินนั้นแบ่งปันให้ (เช่น ขุนนางได้รับพระราชทานตำแหน่งและบริวารจากเจ้านายผู้ปกครองแผ่นดิน) ในสังคมที่ไม่แบ่งเป็นชั้นวรรณะ ที่ชนชั้นสูงมีสิทธิอำนาจเหนือชนชั้นต่ำ ทรัพย์สมบัติย่อมได้มาจากการผลิตหรือแลกเปลี่ยนผลผลิตของตนเองโดยตรงเท่านั้น

๒.ความมั่งมีหรือยากจนเป็นผลจากการกระทำของตนเองหรือผู้อื่น
ในสังคมไทยสมัยก่อน คนจนเชื่อว่าความจนเป็นผลของกรรมที่บุคคลทำมาแต่ปางก่อน จึงไม่โทษใครและคนมีก็คิดอย่างเดียวกันว่าเพราะตนเอยทำบุญไว้ดี ความมีหรือความจนจึงเป็นผลการกระทำของบุคคลเอง ไม่ใช่เพราะผู้อื่นเอาเปรียบฉกฉวยประโยชน์ หรือเพราะระบบสังคมที่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดของคนในสังคมเอง
แต่นักวิชาการวิเคราะห์ว่า ชนชั้นสูงร่ำรวยเพราะมีสิทธิอำนาจเรียกร้องเอาผลผลิตของชาวบ้านมาสะสมเป็นทรัพย์สมบัติของตนและพยายามรักษาระบบสังคมที่ช่วยให้ตนได้เปรียบนี้ไว้ โดยครอบงำความคิดชาวบ้าน ให้เชื่อว่าความมีความจนเป็นผลของกรรมที่บุคคลทำเอง ไม่ใช่เพราะผู้อื่นมาเบียดเบียน
เมื่อระบบสังคมภายหลังเปลี่ยนไป มีการเปลี่ยนแปลงในวิธีการทำมาหากินและมีความคิดเรื่องเศรษฐกิจตามโลกตะวันตก ความคิดแบบเดิมของคนไทยก็เปลี่ยนไปด้วย

๓.เกณฑ์กำหนดทรัพย์สมบัติเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ

หนึ่ง..ในระบบสังคมเดิม ที่ดินมีมากมายไม่จำกัด แต่แรงงานและกำลังคนมีจำกัด คนจึงเป็นทรัพย์สินที่สำคัญ ผู้มีสิทธิควบคุมแรงงานของคนจำนวนมาก ก็มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและทางการปกครอง นอกจากนั้นในระบบการปกครองสมัยโบราณ พระเจ้าแผ่นดินแต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมด คนธรรมดาไม่มีที่ดินเป็นสมบัติได้ คนมั่งมีคือ คนที่มีคนอยู่ใต้อำนาจให้ใช้แรงงาน และผลผลิตของคนเหล่านั้นเป็นประโยชน์ของตนได้ แนวความคิดเช่นนี้มีมาตลอดช่วงเวลาของระบบศักดินา ในยุคอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น

สอง..เมื่อสนธิสัญญาเบาว์ริง พ.ศ.๒๓๙๘ ทำให้รัฐบาลหมดสิทธิผูกขาดการค้าต่างประเทศ และประเทศอุตสาหกรรมตะวันตกแผ่อำนาจอาณานิคมมาสู่ภูมิภาคนี้เป็นตลาดการค้ากว้างขวางขึ้น และมีการเลิกไพร่ทาสและระบบศักดินาในรัชกาลที่ ๕ ประชาชนเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นสังกัดนาย และได้รับอนุญาตให้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำการผลิตเพื่อขายในตลาดเสรี ที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตทางเกษตรที่สำคัญก็กลายเป็นสิ่งมีค่า คือ ทรัพย์สมบัติแทนแรงงานคน ในยุคนี้คนมั่งมีคือ..เจ้าของที่ดิน

สาม..การเศรษฐกิจที่มีลักษณะเป็นการค้าพาณิชย์มากขึ้น ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ในระยะแรกอยู่ในมือของผู้ประกอบการต่างด้าว คือ ฝรั่งและจีนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งให้ความสำคัญแก่ทุนที่เป็นเงินตรามากกว่าทรัพย์สินอื่น แต่กว่าคนไทยจะสนใจเข้ามาทำการค้าเองจริงจัง ก็ในระยะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ และ การพัฒนาเศรษฐกิจด้วยแผนของชาติ หลัง พ.ศ.๒๕๐๐ เงินทุนจึงกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่ากว่าที่ดินและแรงงานของอดีต

๔.บทบาทของรัฐในการสร้างความมั่งมีและยากจนในหมู่ประชาชน

หนึ่ง..คนไทยบางคนอาจไม่เชื่อว่าความมีความจนเป็นผลของเวรกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน แต่เป็นผลของการกระทำของบุคคลในชาตินี้เอง คนมีคือผู้ที่ขยันทำมาหากิน รู้จักเก็บหอมรอมริบ รู้จักลงทุนประกอบการมีไหวพริบสติปัญญาเห็นจังหวะ และโอกาสที่จะได้ประโยชน์กำไร คนจนคือ คนที่ขี้เกียจไม่มีมานะอดทน ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักประหยัด ไม่ขวนขวายหาความรู้ดูลู่ทางที่จะค้าขายหาประโยชน์ หรือเพราะเกิดมาโง่ไม่มีความคิด ไม่มีปัญญา ผู้ที่คิดว่าความมั่งมี ยากจน ขึ้นอยู่กับการกระทำและคุณภาพของตัวบุคคลเองและไม่เชื่อบุญกรรมโชคเคราะห์ที่เป็นอำนาจนอกเหนือมนุษย์นั้น หากจะเชื่อเลยไปว่าสาเหตุอาจมาจากการกระทำของบุคคลอื่นได้ด้วย ก็จะเพียงว่ามีคนอื่นมาหลอกลวง คดโกง หรือ ลักขโมย ปล้นชิงเอาทรัพย์สมบัติไปหมดจึงทำให้จน หรือบางคนมั่งมีเพราะเอาเปรียบ หรือโกงคนอื่นมาได้ แต่ปกติแล้วสามัญชนคนทั่วไปไม่คิดเลยไปถึงระบบสังคมทั้งหมด ว่ามีส่วนเป็นสาเหตุทำให้คนมีหรือจนได้

สอง..สังคมไทยแต่โบราณมีความสามารถผลิตได้มากพอจึงเกิดเป็นบ้านเมืองที่มั่นคงรุ่งเรืองมาได้ยาวนาน ผู้ปกครองหรือรัฐบาลมีโภคทรัพย์ที่ได้จากผลผลิตส่วนเกินการบริโภคโดยตรงของประชาชนมาใช้ว่าจ้างเจ้าหน้าที่พนักงานที่ทำการบริหารปกครอง ระบบสังคมที่ให้สิทธิอำนาจชนชั้นปกครองมากกว่าชนชั้นที่ถูกปกครอง ย่อมอำนวนประโยชน์ให้กลุ่มผู้ปกครองมั่งมีทรัพย์สมบัติได้มากกว่าประชาชนชาวบ้าน ซึ่งเป็นจริงมาตลอดสมัยของระบบศักดินา

สาม..เมื่อหมดยุคศักดินา ผู้บริหารผู้ปกครองเสียสิทธิผูกขาดการค้าแก่พ่อค้าต่างด้าว และเลิกการเกณฑ์แรงงานและผลผลิตของไพร่ทาสเป็นลำดับแรกในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ และสุดท้ายสูญเสียอำนาจการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใน พ.ศ.๒๔๗๕ รัฐบาลระบอบประชาธิปไตยในตอนแรกทอนอำนาจพ่อค้านายทุนต่างด้าวด้วยนโยบายเศรษฐกิจชาตินิยม ให้รัฐดำเนินการค้าและอุตสาหกรรมบางอย่าง และส่งเสริมให้เกิดพ่อค้านายทุนไทยเข้ามาประกอบการ และเมื่อหลัง พ.ศ.๒๕๐๐ รัฐลดบทบาทในการควบคุมเศรษฐกิจ แล้วส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยระบบเสรีทุนนิยมอย่างเต็มที่ โดยเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทุนและทักษะที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มี เพราะเป็นเกษตรกรและแรงงานใช้ทักษะนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจแบบเน้นส่งเสริมอุตสาหกรรม ทำให้ผู้มีทุนและทักษะสำหรับอุตสาหกรรมได้ประโยชน์กำไรมากกว่าชาวไร่ชาวนา ที่ขายผลผลิตทางเกษตรได้ราคาต่ำ และกรรมกรที่ถูกจำกัดค่าแรงงานเพื่อมิให้สินค้าอุตสาหกรรมมีราคาสูง แล้วจะขายแข่งขันกับประเทศอื่นได้ลำบาก ผลก็คือทำให้กลุ่มแรกมั่งมีขึ้นแต่กลุ่มหลังยากจนลง เมื่อเทียบกันเป็นอัตราส่วน

จากแนวคิดเช่นนี้ ความมั่งมีและความยากจนของประชาชนจึงเป็นผลของนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาลผู้ดูแลบริหารสังคมด้วย มิใช่เพียงเป็นผลของการกระทำในระดับบุคคลในชาตินี้ หรือบุญกรรมจากชาติก่อนเท่านั้น

ในอนาคต เมื่อนโยบายของรัฐบาลและระบบเศรษฐกิจของสังคมเปลี่ยนแปลงไป ความคิดความเข้าใจในเรื่องความมั่งมีและยากจนของคนก็คงเปลี่ยนได้อีกจากสภาพในขณะนี้ที่คนทั่วไปถือว่าการมีเงินและสามารถบริโภคแบบวัตถุนิยมคือเครื่องหมายของความมั่งคั่งที่คนส่วนใหญ่ปรารถนา

วันเสาร์, ตุลาคม 23, 2553

การเปลี่ยนแปลงความคิดและวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ


การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในเรื่องนี้เกิดมีเมื่อคนไทยได้รับคำอธิบายและทฤษฎีจากสังคมตะวันตก โดยเฉพาะทฤษฎีเชื้อโรคและความผิดปกติของเซลล์และอวัยวะตามความรู้ทางชีววิทยาและพันธุกรรมตามแนวของการศึกษาค้นคว้าทดลองของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ความคิดความเข้าใจแบบใหม่นี้มีอยู่ในหมู่คนไทยที่ได้รับการศึกษาความรู้แบบตะวันตก โดยเฉพาะในวิชาแพทย์


ความคิดแบบดั้งเดิมของไทยในเรื่องสุขภาพและการเจ็บป่วย


ผู้รู้ของไทยสมัยก่อนอธิบายปรากฎการณ์เจ็บไข้ของคนเป็น ๓ แนวทาง คือ

๑)ทฤษฎีเรื่องธาตุ ๒)ทฤษฎีไสยศาสตร์ ๓)ทฤษฎีโหราศาสตร์


คนไทยในระดับปัญญาชนอาจมีความคิดความเข้าใจได้ลึกซื้งเป็นระบบระเบียบในแนวทางหนึ่งหรือทุกแนวทางนี้ได้มากกว่าชาวบ้านสามัญชน แต่ทุกคนร่วมรับคำอธิบายเหล่านี้ไม่ต่างกันในหลักการ


๑)ทฤษฎีเรื่องธาตุ อธิบายปรากกฎการณ์สุขภาพและความเจ็บป่วยจากองค์ประกอบธรรมชาติที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ โดยไม่ต้องอ้างถึงอำนาจลึกลับอื่นใดที่อยู่ภายนอกตัวบุคคล แนวคิดนี้ถือว่าร่างกายที่มีชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยธาตุสำคัญทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุทั้ง ๔ นี้ เป็นปกติสัมพันธ์กันได้ ดุลยภาพร่างกายและจิตใจของบุคคลก็แข็งแรงสบายดี คือ มีสุขภาพดี แต่ถ้าธาตุใดหรือหลายธาตุแปรปรวน ขาดเกินไปทำให้เสียดุลกับส่วนอื่น ๆ เกิดอาการที่เรียกว่าเจ็บป่วยขึ้น การรักษาก็คือการทำให้ธาตุที่แปรปรวนไปนั้นกลับคืนสู่ดุลยภาพดังเดิม โดยใช้ยาหรือพิธีบางอย่างที่เชื่อกันว่ามีผลไปปรับสภาพของธาตุที่ผิดปกตินั้นได้ แต่ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จก็เป็นเพราะธาตุนั้นเสื่อมสภาพเกินจะแก้ไข ถ้าธาตุแตกสลายหรือหมดไปจากร่างกาย บุคคลก็ตาย ชีวิตก็สิ้น ผู้รักษาคือหมอยา หมอกลางบ้าน หมดนวด


๒)ทฤษฎีไสยศาสตร์ อธิบายว่ามีอำนาจลึกลับหรือศักดิ์สิทธิ์บางอย่างหรือหลายอย่างที่อยู่นอกเหนือตัวมนุษย์ ที่ควบคุมบงการชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ได้ จะบันดาลให้บุคคลเจ็บป่วยถึงตาย หรือมีสุขภาพดีฟื้นจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นปกติก็ได้ อำนาจลึกลับเช่นนี้มีได้ทั้งที่ดี (ผีฟ้า เจ้าที่ เทพารักษ์ ผีบรรพบุรุษ) และที่ร้าย (ผีปอบ ผีกระสือฯลฯ) หรือที่เป็นกลาง ๆ ไม่มีหน้าที่คอยคุ้มครองหรือมีเจตนามุ่งร้ายต่อมนุษย์ แต่ถ้ามนุษย์ไปล่วงเกินหรือขัดขวางประโยชน์ก็จะทำร้ายให้ ถ้ามนุษย์ไปทำให้ถูกใจได้ประโยชน์ ก็อาจช่วยเหลือแลกเปลี่ยนกัน เช่น เด็กเจ็บป่วย เพราะผีที่ปั้นลูกต้องการเอาไปเลี้ยงไว้เอง คนไม่สบายเพราะไปทำสกปรกต่อศาลเจ้า คนบนบานให้เจ้าแม่รักษาโรคภัย แล้วจะแก้บนด้วยสิ่งถูกใจเจ้าแม่ อำนาจเหล่านี้ประเภทหนึ่งพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เช่น เจ้าป่า เจ้าเขา อีกประเภทหนึ่งรักษาระบบความสัมพันธ์ของคนในสังคม เช่น ผีปู่ย่าตายาย มนุษย์คนใดไปล่วงเกินทำลายธรรมชาติหรือความสัมพันธ์ทางสังคมก็จะเจ็บป่วย วิธีการรักษาตามทฤษฎีนี้ ต้องใช้สื่อคือ คนที่สามารถติดต่อกับอำนาจนั้น ๆ ได้ คือ หมอ ประเภทต่าง ๆ ซึ่งจะใช้อุปกรณ์วิธีการที่เหมาะสมกับอำนาจแต่ละชนิดนั้น ๆ เช่น บังคับ ขับไล่ หรืออ้อนวอนขอร้อง ให้เลิกทำร้ายลงโทษผู้ป่วยหรือช่วยฟื้นฟูสุขภาพให้กลับดีดังเดิม


๓)ทฤษฎีโหราศาสตร์ อธิบายว่า ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของมหนุษย์ได้ โชคชะตาราศีของบุคคลขึ้นอยู่กับเวลาเกิด ที่ตรงกับตำแหน่งแห่งที่ของดวงดาวและเปลี่ยนแปลงไปตามการโคจรของดวงดาว เหตุการณ์ในชีวิตของบุคคลอยู่ใต้กำหนดของพลังในจักรวาล ซึ่งทำนายพยากรณ์ล่วงหน้าได้ และดำเนินการป้องกันแก้ไขหรือผ่อนหลักให้เป็นเบาได้ เช่น ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ แก้เคล็ต ดูฤกษ์ยามเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย ช่วยชีวิตสัตว์ให้เป็นบุญ มาลดหย่อนผลการรวมในยามเคราะห์ วิธีการรักษาตามคตินนี้ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถคำนวณฤกษ์ยาม

สัมพันธ์ไทยกับคนต่างชาติ


ความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับคนชาติภาษาอื่น


คนไทยได้ชื่อว่ามีอัธยาศัยไมตรีต่อผู้มาเยือน ต้อนรับขับสู้ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ สังคมไทยเป็นสังคมเปิด คือ ยินดีติดต่อกับผู้คนทุกชาติทุกภาษา วัฒนธรรมไทยก็เป็นวัฒนธรรมเปิด คือ พร้อมที่จะรับธรรมเนียมประเพณีชีวิตและอุปกรณ์วิธีการที่คนพอใจจากแบบอย่างชีวิตของคนชาติอื่น ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยก็รายงานไว้ว่าคนไทยอยู่ปะปนกับชนชาติต่าง ๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่อยู่ทางเหนือในบริเวณประเทศจีนปัจจุบัน หรือกลุ่มที่อยู่ใต้ลงมาในภูมิภาคของเอเชียอาคเนย์ จนถึงแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาและแหลมมลายู และได้ผสมกลมกลืนกับชนหลายชาติหล่านั้นที่กลายเป็นคนไทยไปด้วยกัน นอกจากนั้นบ้านเมืองไทยยังได้ทำการค้าขายกับประเทศนอกทั้งในทวีปเอเชียจนถึงทวีปยุโรป ในสมัยอยุธยาและในสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบันก็ติดต่อสัมพันธ์กับแทบทุกชาติในแทบทุกทวีปของโลก


ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ความคิดของคนไทยเกี่ยวกับชนชาติอื่น ๆ เหล่านั้นคงต้องมีหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงได้ตามลักษณะความสัมพันธ์ที่มีต่อกันในแต่ละยุคสมัย


๑.คนไทยแยกประเภทของชนชาติต่าง ๆ ที่ตนติดต่อด้วย

ถ้าไม่อยู่ในฐานะเสมอกันก็ต้องสูงหรือต่ำกว่ากัน เกณฑ์หนึ่งซึ่งพออาศัยสังเกตได้ก็คือ ชื่อที่ใช้เรียกชนชาติอื่น บางชื่ออาจมีความหมายให้ความรู้สึกเป็นกลาง ๆ ไม่ดูถูก ไม่ยกย่อง ให้เห็นชัดเจนจากคำนั้น ๆ แต่บางคำก็แสดงความคิดความรู้สึกไว้ชัดเจนในชื่อ ดังตัวอย่างที่แสดงในข้อมูล เช่น คนไทย เรียกคนบางชาติว่า "ผีตองเหลือง" (ถือเป็นผีไม่ใช่คน) "แกวแย้"(เอาชื่อสัตว์มาประกอบ) หรือ ส่วย(หมายถึงกลุ่มคนที่อยู่ใต้อำนาจปกครอง มีหน้าที่จัดหาสิ่งของมาบรรณาการเป็นส่วย) ในกรณีเหล่านี้ผู้รู้วิเคราะห์ว่าคนไทยถือตัวว่ามีความเจริญก้าวหน้ากว่าชนชาติหล่านั้น


แต่คำบางคำ เช่น "แขก" มีความหมายดั้งเดิมเพียงว่าคนแปลกหน้าจากที่อื่นเท่านั้น เป็นคำกลาง ๆ ไม่ยกย่องหรือเหยียดหยามแต่อย่างไร ที่ปรากฎในความหมายของคำ (แต่บางคนอาจทักว่าความหมายแฝงที่มาเพิ่มในภายหลังต่อจากความหมายดั้งเดิมนั้น อาจแสดงความคิดความรู้สึกของผู้ใช้คำนั้น ๆ ที่มีต่อผู้ที่ถูกเรียกได้ เช่น เมื่อคนไทยเปรียบเทียบ "แขก"กับ"ฝรั่ง" ในความหมายที่เป็นกลางของทั้ง ๒ คน ก็ยังแฝงความคิดว่ายกย่องนับถือ "ฝรั่ง" มากกว่า "แขก" ว่าฝรั่งมีความเจริญอารยะกว่า ถ้าถือความรู้วิทยาการสมัยใหม่ หรือแม้แต่ "แขก" กับ "พราหมณ์"ซึ่งในความหมายหนึ่งก็คือ คนที่มาจากอินเดียชุดเดียวกัน แต่ถ้าเรียกว่า "พราหมณ์" ก็ฟังว่ายกย่องกว่า "แขก" ในกรณีอื่นคำว่า "แขก"อาจฟังเป็นคำดูแคลน ซึ่งผู้ถูกเรียกไม่พอใจเลยก็ได้ในบางภาคของประเทศ)


ในโคลงสามสิบสองภาษาที่จารึกไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ(วัดโพธิ์) ในกรุงเทพฯ สมัยรัชกางที่ ๓ แสดงถึงคนชาติต่าง ๆ ที่คนไทยรู้จักและสมาคมด้วยในเวลานั้น แบ่งจำแนกได้เป็น ๔ กลุ่ม คือ

๑)แขก หมายถึง คนที่มาจากประเทศอื่น ซึ่งไม่ใช่คนจีนหรือฝรั่ง คำนี้จึงเป็นชื่อของคนได้หลายชาติหลายภาษา ทั้งที่มาจากประเทศอินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ ลังกา หรือจากชวา มลายู ชนชาติเหล่านี้คุ้นเคยกับคนไทยมาตั้งแต่สมัยอยูธยา ซึ่งมีการค้าขายติดต่อกับต่างประเทศมากในราชสำนักของพระนารายณ์ของยุคนั้น มีข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนที่เป็น"แขก" จากแทบทุกชาติ มียศและตำแหน่งสูง ๆ และได้ฝากลักษณะวัฒนธรรมบางอย่างไว้ให้คนไทยด้วย


๒)จีน หมายถึง คนจากประเทศเดียว ซึ่งคนไทยมีการติดต่อและความสัมพันธ์มาช้านานในประวัติศาสตร์ในด้านการเมืองการปกครอง อำนาจของราชสำนักจึงเป็นที่ยอมรับนับถือของบ้านเมืองในแถบเอเชียอาคเนย์มาตลอด สินค้าของจีน เช่น แพรและถ้วยชาม เป้นของใช้ของคนไทยชั้นสูง ฯลฯ เมืองไทยมีความสัมพันธ์ทางการฑูตและการต้าที่ยกย่องความสำคํยของจีนตลอดมา และมีการแต่งงานสัมพันธ์กันได้ง่ายเพราะไม่มีสิ่งขัดแย้งกันมากในด้านศาสนาและประเพณี แต่ถ้าหากคนไทยเรียกคนจีนว่า "เจ๊ก" อาจทำให้เกิดความคิดความรู้สึกต่างไป


๓)ฝรั่ง โดยทั่วไป หมายถึง คนจาประเทศทางยุโรป (แต่ภายหลังใช้รวมถึงคนผิวขาวจากทวีปอเมริกาและออสเตรเลียด้วย) ความสัมพันธ์ในสมัยอยุธยาเป็นเรื่องการค้าขายทั่วไป และอาวุธยุทธวิธีการทหาร มีผลจำกัดเพียงในระดับผู้บริหารปกครอง แต่ฝรั่งยุคหลังในสมัยรัตนโกสินทร์ที่มาขยายอำนาจอาณานิคมได้มีอิทธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมไทยมากมาย ความคิดความเข้าใจของคนไทยปัจจุบันเกี่ยวกับฝรั่งสืบเนื่องจากความสัมพันธ์สมัยหลังนี้มากกว่าของเดิมจากครั้งอยุธยา


๔)คนชาติเพื่อนบ้านใกล้เคียง คนไทยถือว่าบางชาติต่ำต้อยกว่าตนถ้าอยู่ใต้ปกครองของไทย บางชาติก็มีฐานะเสมอกัน มีการสู้รบทำสงครามผลัดกันแพ้ชนะ บางชาติคนไทยก็ยกย่องเพราะมีอำนาจปกครอง และความรู้ความเจริญเหนือคนไทย(เช่น ขอม และมอญ ยุคโบราณ ได้ถ่ายทอดลักษณะการปกครอง ราชประเพณี กฎหมาย และศาสนาให้แก่ราชสำนักไทย) และถึงสมัยหลังที่ชนชาติเหล่านั้นเสื่อมอำนาจจนบางครั้งต้องขอพึ่งโพธิสมภารของผู้ปกครองไทย ก็ยังให้เกียรติว่าเป็นคนพวกสัมมาทิฐิด้วยกัน ต่างจากคนชาติที่นับถือศาสนาอื่นว่าเป็นมิจฉาทิฐิ


๒.ความเป็น "ไทย" ในปัจจุบัน


การร่วมรับภาษาและธรรมเนียมประเพณีชีวิตแบบไทย สร้างความเป็นไทยร่วมกันไม่ว่าพื้นเพเดิมของบุคคลจะมาจากกลุ่มชาติภาษาอื่นใด การจำแนกคนเป็นชาติภาษาอื่นที่คนไทยมีความรู้สึกนึกคิดแยกปฎิบัติต่อแต่ละกลุ่มนั้น เกิจากการที่คนเหล่านั้นรักษาลักษณะเฉพาะของคนไว้ไม่ยอมผสมผสานกลมกลืนเข้ากับลักษณะไทย แต่เมื่อทำได้ การจำแนกเป็นต่างกลุ่มต่างชาติก็หมดไป หลักการนี้เป็นจริงตั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน ความเป็น "ไทย" จึงครอบคลุมผู้คนที่มาจากพื้นเพหลายชาติภาษาที่ต่างกัน


การเป็นประเทศชาติสมัยใหม่ ให้ความเป็นพลเมืองไทยแก่ประชากรทุกกลุ่มภาษา ศาสนา และ ประเพณี ความเป็น "ไทย" จึงอาจไม่จำกัดได้ในลักษณะร่วมกันทางวัฒนธรรมเท่านั้นได้อย่างแต่ก่อน การใช้เกณฑ์ยืดมั่นในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ร่วมกัน ถ้าตีความหมายว่า "ชาติ" คือ ประเทศ "ศาสนา" ไม่จำกัดแต่เพียงพูทธศาสนา และ "พระมหากษัตริย์" เน้นสถาบันการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญเช่นนั้น ก็สามารถรวมผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์ร่วมกันแล้วเรียกว่า "ไทย" ในความหมายของยุคปัจจุบันได้ แต่ความคิดความรู้สึกต่อคน ชาติ ภาษาอื่น ในสถานการณืของการติดต่อสัมพันธ์สมัยใหม่ก็คงเปลี่ยนแปลงไปจากที่ข้อมูลในประวัติศาสตร์กล่าวไว้สำหรับสภาพในสมัยก่อน ซึ่งต้องศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

สภาพสังคมไทย


สภาพของสังคมมีส่วนกำหนดลักษณะความคิดของคนที่อยู่ในสังคมนั้น คนในเมือง และ คนในชนบทจึงมีความคิดต่างกัน โดยปกติสังคมเมืองมีโอกาสเปลี่ยนสภาพได้ก่อนสังคมชนบท และเปลี่ยนได้มากและเร็วกว่า คนในเมืองเป็นผู้รู้ ผู้ปกครอง และชนชั้นนำของสังคม ความคิดความเข้าใจและความรู้เรื่องต่าง ๆ จึงเปลี่ยนไปตามยุคสมัยเมื่อสภาพของสังคมเปลี่ยนไปและมีผลกระทบต่อสังคมชนบทซึ่งปกติเปลี่ยนแปลงช้ากว่าด้วย


สภาพสังคมไทยกับลักษณะความคิดของคนไทย

ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดในบางเรื่องของคนไทย ได้มาจากสมัยที่สังคมไทยมีสภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้เอาข้อมูลนั้นมาใช้วิเคราะห์รายงานไว้อาจอยู่ในสมัยหนึ่งที่มีสภาพของสังคมต่างไป ความคิดในยุคอดีตอาจสูญไปแล้วในยุคปัจจุบัน หรือถ้ายังมีอยู่ในรูปแบบเดิมก็อาจเปลี่ยนความหมายและหน้าที่ประโยชน์ไปแล้ว อ้างอิงจากข้อมูลส่วนใหญ่ที่มีบันทึก ความคิดของไทยในเรื่องต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หลังจากได้รับอิทธิพลของอารยธรรมแบบอุตสาหกรรมจากประเทศมหาอำนาจอาณานิคมตะวันตกในรัชกาลที่ ๔ และ รัชกาลที่ ๕ ของกรุงรัตนโกสินทร์

การติดต่อค้าขายกับประเทศฝรั่งชาวยุโรปในสมัยอยุธยาไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความคิดอำนาจของคนไทยมากอย่างในสมัยหลังของกรุงเทพฯ ถึงแม้ในรัชสมัยของพระนารายณ์จะทรงอนุญาตให้บาทหลวงฝรั่งเศสมาเผยแพร่ศาสนา และมีการรับฝรั่งไว้ใช้ในราชการ ก็ไม่ปรากฎหลักฐานว่าความคิดอ่านแบบฝรั่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดของไทย

อาจเป็นได้ว่าความคิดของฝรั่งในสมัยอยุธยามาจากสภาพของสังคมที่ไม่ต่างกันมากนักจากสถาพของสังคมไทย คือ เป็นสังคมเกษตรส่วนใหญ่และมีการปกครองแบบศักดินาพอเทียบเคียงกัน แต่เมื่อถึงสมัยกรุงเทพฯนั้น สังคมของฝรั่งมีสภาพเป็นสังคมอุตสาหกรรมแล้ว และมีอิทธิพลครอบงำบ้านเมืองตะวันออกอย่างกว้างขวางกว่าในยุคก่อน


อิทธิพลอารยธรรมใหม่แบบอุตสาหกรรมของโลกตะวันตก ผลก็คือ คนไทยต้องเรียนรู้และรับความคิดความเข้าใจใหม่ ๆ เข้ามาใช้ปรับปรุงประเทศ ทั้ง ๆ ที่สังคมไทยส่วนใหญ่ยังมีสภาพเป็นสังคมเกษตรแบบศักดินาอยู่ ความคิดอ่านแบบสมัยใหม่ของตะวันตกจึงมาเปลี่ยนแปลงและแทนที่ความคิดแบบเก่าของไทยในหมู่คนจำนวนจำกัด ในระดับชนชั้นนำที่ทำหน้าที่บริหารปกครองซึ่งอยู่ในเมืองใหญ่ก่อน ไม่ได้แผ่ขยายไปครอบคลุมประชาชนทั่วไปในชนบทด้วย แต่ความคิดแบบใหม่ที่เริ่มมีอยู่ในคนจำนวนน้อยชั้นนำที่มีอำนาจบริหารสั่งการได้นั้น เมื่อมีประกาศคำสั่งออกไป ความคิดนั้นก็ออกไปพ้นเมืองหลวงเข้าถึงส่วนภูมิภาคได้ เช่น ผ่านไปในหมู่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ปกครอง และภายหลังเพิ่มหน้าที่ให้บริการแก่ประชาชนด้วย เช่น บริการการศึกษา บริการการแพทย์และสาธารณสุข ด้วย การรักษาพยาบาลแผนใหม่ และคำอธิบายความคิดเรื่องโรคภัย ตามความรู้ของตะวันตก อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิดความเข้าใจของชาวบ้านจากประเพณีเดิมให้มาเข้าใจและอธิบายความเจ็บป่วยด้วยทฤษฎีใหม่จากวิชาการแพทย์ของตะวันตกด้วยเสมอไป เพราะประสบการณ์ชีวิตและสภาพสังคมของเกษตรกรในชนบทยังรักษาลักษณะเดิมตามแบบประเพณีอยู่มาก ถึงแม้จะมีการรับเอาเครื่องมือและวิธีการแบบฝรั่งหลายอย่างมาใช้ในชีวิตของคนชนบทแล้วก็ตาม


การเปลี่ยนแปลงความคิดให้เป็นรูปแบบใหม่จึงต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงประสบการณ์ชีวิต และสภาพของสังคมที่สอดคล้องกันด้วย สังคมเมืองซึ่งตามปกติมีลักษณะแตกต่างจากสังคมชนบทอยู่แล้ว และความคิดอ่านของชาวเมืองจึงมักแตกต่างจากความคิดแบบชนบท เพราะในเมืองมีความแตกต่างทางฐานะและอาชีพของผู้คนได้มาก ความคิดจึงหลากหลายไปตามประเภทของกลุ่มหรือชั้นของสังคม ความคิดและวิธีการใหม่ ๆ ในหมู่ชนชั้นนำที่จะช่วยยืนยันและรักษาสถานภาพที่สูงส่งและแตกต่างไปจากสามัญชน จึงเกิดได้ไม่ยาก ถ้าผู้นำของสังคมพอใจจะรับมาก และถ้าเห็นว่าการเผยแพร่ไปจะให้ประโยชน์ช่วยรักษาหรือเพิ่มพูนอำนาจของผู้ปกครอง ก็จะปลูกฝังความคิดใหม่ให้แพร่กระจายไป เช่น ผู้ปกครองเผยแพร่คติทางพุทธศาสนาที่ช่วยเสริมอำนาจการปกครองของรัฐ ถึงแม้จะไม่สามารถแทนที่ความเชื่อเรื่องผีที่ชาวบ้านยึดถือกันมาก่อนแล้วก็ตาม




วันศุกร์, ตุลาคม 22, 2553

ประสบการณ์ชีวิตที่คนไทยคิดแตกต่าง


การเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับแนวคิดไทยในเรื่องต่าง ๆ ของชีวิต มีปัญหาและความจำกัดหลายประการ ทั้งประมาณและประเภทของข้อมูลการตีความ และการวิเคราะห์ถึง การเรียบเรียงนำเสนอ แต่ถึงมีข้อจำกัดต่าง ๆ ก็สมควรทำเสนอขึ้นเสียชั้นหนึ่งก่อน ให้เป็นความรู้เบื้องต้นสำหรับการถกเถียง อภิปราย และปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง แม่นยำ และสมบูรณ์ขึ้นต่อเนื่องไปในข้างหน้า

การนำเสนอเนื้อหาของความคิดไทยในเรื่องต่าง ๆ มีความลักลั่นของช่วงเวลา และสถานที่ของข้อมูลต่าง ๆ กัน เพราะข้อมูลบางอย่างมีบันทึกเป็นหลักฐานให้อาศัยใช้ได้ง่าย บางอย่างก็ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ใช้ ข้อมูลที่มีหลักฐานมักแสดงความคิดของผู้รู้หรือบุคคลชั้นนำของสังคม ความคิดแบบชาวบ้านมีแต่ที่นักวิชาการสมัยหลังสนใจรายงานไว้ ทำให้ไม่ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์ของความคิดไทยจากคนทุกชั้นทุกระดับฐานะอาชีพ

เพราะความคิดของบุคคลเป็นไปตามประสบการณ์ชีวิต ถ้าคนไทยมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างหลากหลายตามประเภท และฐานะของบุคคล ความคิดที่จะเป็นสากลเหมือนกันสำหรับคนไทยทุกคนก็คงหายาก

ณ แรกรัก

ชื่อเรื่อง ณ แรกรัก ผู้แต่ง ปาระมิตา แนวโรแมนติกแฟนตาซี จำนวน 462 หน้า สำนักพิมพ์กรีนมายด์ ภาสุระนครแห่งนี้มีเจ้าชายและเจ้าหญิงเป็นแ...